MBK โชว์แผน "กำจัดจุดอ่อน"

บมจ.เอ็ม บี เค เล็งหั่นรายได้ธุรกิจศูนย์การค้าและโรงแรม หลังฐานะเหวี่ยงตัวตามอุตสาหกรรม สุเวทย์ ธีรวชิรกุล
เมื่อ “ธุรกิจศูนย์การค้า” และ “ธุรกิจโรงแรม” คือ ตัวฉุดกำไรสุทธิของ บมจ.เอ็ม บี เค หรือ MBK ทีมบริหารจึงไม่รอช้าเร่งสะสางปัญหา ด้วยการลดอัตราการพึ่งพิง เมื่อปี 2556 ธุรกิจศูนย์การค้าทำกำไรลดลง 348 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจโรงแรมมีกำไรลดลง 90 ล้านบาท ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมามีกำไรสุทธิลดลง 223 ล้านบาท และ 105 ล้านบาท ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จาก 8 ธุรกิจ คือ 1.ธุรกิจศูนย์การค้า ด้วยการปล่อยเช่าพื้นที่ภายในศูนย์การค้าและอาคารสำนักงาน ประกอบด้วย ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ และศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค 2.ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว เช่น โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส โรงแรมเชอราตัน กระบี่ บีช รีสอร์ท ,โรงแรมทินิดี ระนองและภูเก็ต และโรงแรมในมัลดีฟส์
3.ธุรกิจให้บริการสนามกอล์ฟ คลับเฮ้าส์ และจำหน่ายอุปกรณ์กอล์ฟ 4.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 5.ธุรกิจอาหารจำหน่ายข้าวสารทั้งภายในประเทศและเพื่อการส่งออก และธุรกิจศูนย์อาหาร 6.ธุรกิจให้สินเชื่อทั่วไปเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อระยะสั้น (Bridge loan) ที่มีหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่า ตั้งอยู่ในทำเลดี และเป็นที่ต้องการของตลาด และธุรกิจให้สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์
7.ธุรกิจประมูลรถยนต์และรถจักรยานยนต์ และตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ 8.ธุรกิจสนับสนุน โดยทั้ง 8 ธุรกิจ สามารถสร้างผลกำไรและขาดทุนในปี 2556 จำนวน 1,165-33-24 -(30)-32-218-(22)-(1) ล้านบาท ตามลำดับ
ก่อนจะเล่าแผนเร่งด่วน “สุเวทย์ ธีรวชิรกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บมจ.เอ็ม บี เค เรียกเรตติ้ง ด้วยการบอกความเชื่อส่วนตัวว่า “ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2557 จำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะดีขึ้น ผมเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวมาตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา แม้วันนี้จะยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ แต่ถือว่าดีกว่าเมื่อ 7-8 เดือนก่อน”
การเมืองวุ่นวายในครั้งก่อน ทำให้บริษัทจำเป็นต้องลดค่าเช่าพื้นที่ให้กับลูกค้า ส่งผลให้รายได้ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา ลดลงเหลือ 4,844 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้จำนวน 7,045 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิลดลงเหลือ 745 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,723 ล้านบาท
โดยสัดส่วนรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 มาจากธุรกิจศูนย์การค้า 40 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจอาหาร 20 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจโรงแรม 12 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจการเงิน 15 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจกอล์ฟ 3 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 7 เปอร์เซ็นต์
“MBK จะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปคงไม่เติบโตแบบหวือหวา” “สุเวทย์” บอกอย่างนั้น เขาเชื่อว่า เป้าหมายลักษณะนี้คงถูกใจนักลงทุนวีไอรายใหญ่ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” เพราะพฤติกรรมของดอกเตอร์ชอบถือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ จากการตรวจสอบพบ “ดร.นิเวศน์” ถือหุ้น MBK มาตั้งแต่ปี 2553 จำนวน 1 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.53 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันยังคงสัดส่วนเท่าเดิม
“ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ” เล่าแผนธุรกิจในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า (2558-2562) ให้ฟังว่า เราอยากกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ ด้วยการลดสัดส่วนรายได้จากธุรกิจศูนย์การค้า และธุรกิจโรงแรม เพราะที่ผ่านมาสองธุรกิจขึ้นลงตามสภาพอุตสาหกรรมมากเกินไป
“3-5 ปีข้างหน้า รายได้รวมคงโตเฉลี่ย 7-8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการขยายตัวตามปกติ แต่หากบริษัทมีรายได้จากธุรกิจอื่นมากขึ้นโอกาสที่จะเห็นการเติบโตมากกว่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก”
ตามแผนเราจะให้ความสำคัญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจการเงินมากขึ้น เพราะเชื่อว่าสองธุรกิจนี้มีศักยภาพการเติบโตในอนาคต ที่ผ่านมาเราลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มานานแล้ว ส่วนใหญ่จะทำในจังหวัดภูเก็ต แต่ตอนนี้ได้หันมาสร้างคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯแล้ว ภายใต้ชื่อโครงการ ควินน์ มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ลูกค้าให้การตอบรับดีมาก
ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินประมาณ 200 ไร่ รอบสนามกอล์ฟจังหวัดปทุมธานี วางแผนไว้ว่าจะนำมาพัฒนาเป็นโครงการบ้านแนวราบ นอกจากนั้นยังมีแผนจะสร้างคอนโดมิเนียมข้างศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พื้นที่ 5-6 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,200-1,300 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายได้ในช่วงไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2 ปี 2558 ล่าสุดอยู่ในขั้นตอนการขอใบอนุญาต
“นโยบายการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท คือ ต้องมีโปรเจคใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง และจะไม่ทำโครงการขนาดใหญ่ โดยกลุ่มลูกค้าจะอยู่ระดับกลางล่าง และกลางบน คาดว่าปี 2557 สัดส่วนรายได้อสังหาริมทรัพย์จะยืนระดับ 7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีเป้าหมายจะผลักดันสัดส่วนให้ถึง 12 เปอร์เซ็นต์”
สำหรับธุรกิจการเงิน เราก็มีฐานธุรกิจอยู่แล้วเช่นกัน โดยการถือหุ้นผ่านบมจ.ทุนธนชาต หรือ TCAP จำนวน 10.17 เปอร์เซ็นต์ (ตัวเลข ณ วันที่ 18 เม.ย.2557) ธุรกิจการเงินจะเชื่อมโยงกับธุรกิจประมูลรถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวมถึงธุรกิจสนับสนุนที่บริษัทดำเนินการผ่าน “เอ็มบีเค เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์” และ “เอ็มบีเค โบรกเกอร์”
“ธุรกิจของ MBK ค่อนข้างหลากหลาย ทำให้บางคนมองว่า การที่มีธุรกิจเยอะแยะ ทำให้เราไม่เก่งอะไรเลยสักอย่าง แต่ผมมองว่า การที่มีธุรกิจมากมาย ถือเป็นการกระจายความเสี่ยง”
“สุเวทย์” เล่าต่อว่า ตามแผนเราจะลดส่วนรายได้ธุรกิจศูนย์การค้าให้เหลือเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันเราไม่มีแผนลงทุนศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงๆอีกแล้ว โครงการล่าสุด คือ ศูนย์การค้าขนาดเล็ก เพื่อเชื่อมศูนย์การค้าพาราไดซ์ปาร์ค ศรีนครินทร์ คาดว่าจะเปิดให้บริการเดือน ต.ค.2557
สำหรับกลยุทธ์การทำธุรกิจศูนย์การค้า คือ เราจะดำเนินการผ่านบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของโครงการสยามเซ็นเตอร์ และ สยามดิสคัฟเวอรี่ ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่จำนวน 30 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากการลงทุนสร้างศูนย์การค้ามีข้อจำกัดมากมาย ทั้งเรื่องที่ดิน ทำเล และความชำนาญ ซึ่งเรายังไม่แข็งแกร่งเท่าคู่แข่งอย่างเครือเซ็นทรัลหรือเดอะมอลล์
ที่ผ่านมา "เอ็มบีเคกรุ๊ป” จับมือกับ “สยามพิวรรธน์” เพื่อซื้อกิจการห้างเสรีเซ็นเตอร์จากกลุ่มพรีเมียร์ ก่อนนำมาปรับโฉมเป็นศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค ด้วยการถือหุ้นฝ่ายละ 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้นยังลงทุนทำศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ การลงทุนกับพันธมิตรไม่ได้ทำเพื่อกระจายความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังทำให้เรามีกลุ่มลูกค้าทุกระดับด้วย ที่สำคัญเป็นการบริหารเงินสด ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดปีละ 3,000 ล้านบาท
ธุรกิจศูนย์การค้าที่ดำเนินธุรกิจโดย MBK แบ่งลักษณะของการให้เช่าพื้นที่ภายในศูนย์การค้า MBK Center ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.การให้เช่าพื้นที่ระยะยาว มีกำหนดระยะเวลาเช่ามากกว่า 3 ปี พร้อมเก็บค่าเช่าล่วงหน้าตลอดอายุสัญญาเช่า คิดเป็นสัดส่วน 18 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ให้เช่าทั้งหมด 2.การให้เช่าพื้นที่ระยะสั้น มีกำหนดระยะเวลาเช่า 1 ปี ถึง 3 ปี เรียกเก็บค่าเช่าเป็นรายเดือน คิดเป็นสัดส่วน 82 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ให้เช่าทั้งหมด
ล่าสุดบริษัทได้ลงทุนปรับปรุงภายนอกของศูนย์การค้ามาบุญครอง ขณะเดียวกันยังได้สร้างทางเดินลอยฟ้า (สกายวอล์ค) จากสี่แยกปทุมวันเชื่อมต่อไปยังด้านหน้าโรงแรมปทุมวันปริ๊นเซสและศศินทร์ ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการทั้งชาวไทยและต่างชาติ ส่วนภายในศูนย์การค้ามาบุญครองคงทยอยปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
เขา เล่าถึงธุรกิจอาหารว่า เมื่อก่อนเราขายข้าวถุงตรามาบุญครอง ข้าวมาบุญครองพลัส และข้าวจัสมินโกลด์ แต่ตอนนี้ข้าวไม่ใช่ธุรกิจหลักแล้ว หลังนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลส่งผลกระทบต่อราคาข้าวในประเทศ ประกอบกับการแข่งขันในตลาดส่งผลต่ออัตรากำไร ทำให้มีตัวเลขลดลงต่อเนื่อง ปัจจุบันยืนระดับต่ำเพียง 2-3 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่มีอัตรากำไรประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวเชื่อว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเราใช้กลยุทธ์ประคองธุรกิจมาเรื่อยๆ ไม่มีการสต็อกสินค้า เพื่อไม่ให้เจ็บตัวเหมือนผู้ประกอบการรายอื่น
ปัจจุบันบริษัทเปลี่ยนจากการทำข้าวถุงอย่างเดียวมาเป็นการแปรรูปข้าวเป็นอาหาร โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางประเทศญี่ปุ่น “ฟุจิโอะ ฟู้ด ซิสเท็ม” จัดตั้งบริษัท บริษัท เอ็ม บี เค ฟู้ด ซิสเท็ม จำกัด (MBK Food System) ทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 60 ล้านบาท โดยบริษัทถือหุ้นอยู่ 60 เปอร์เซ็นต์ และญี่ปุ่นถืออีก 40 เปอร์เซ็นต์
อนาคตวางแผนจะเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีอยู่ 3 สาขา โดยปลายปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา และปี 2558 จะเปิดเพิ่มอีก 5 สาขา เน้นในกรุงเทพฯเป็นหลัก เพราะว่าเรายังไม่ใหญ่แถมชื่อเสียงก็ยังไม่มี
ระยะยาวมองว่า สัดส่วนรายได้ในธุรกิจดังกล่าวน่าจะขยับขึ้นไปได้อีกประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้มีสัดส่วนประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปัจจุบันเค้กในธุรกิจอาหารมีก้อนใหญ่ขึ้นจากคู่แข่งที่จำนวนมาก แต่ถ้าสามารถเปิดสาขาได้ครบ 9 สาขา ในปีหน้าสัดส่วนรายได้ก็น่าจะขยับขึ้นไปได้
สำหรับธุรกิจโรงแรม มองว่าครึ่งปีหลังสัดส่วนรายได้จะค่อยๆ ดีขึ้น หลังการเมืองนิ่งแล้ว และนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเมืองไทย ส่วนธุรกิจสนามกอล์ฟ แรกเริ่ม MBK ไปซื้อสนามกอล์ฟ และที่ดินในจังหวัดภูเก็ต เหตุผลที่เลือกภูเก็ต เพราะว่าเป็นจังหวัดท่องเที่ยว ประกอบกับลูกค้าที่ใช้บริการสนามกอล์ฟที่ภูเก็ตส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และรอบสนามกอล์ฟ เรายังสร้างหมู่บ้านไว้ขาย ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวต่างชาติ ขณะเดียวกันเรายังมีสนามกอล์ฟในจังหวัดปทุมธานีด้วย
“รายได้ปีนี้อาจโต 5 เปอร์เซ็นต์ แต่กำไรคงลดลง 5 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากปี 2556 เรามีกำไรจากรายการพิเศษ แถมปีนี้ยังต้องจ่ายอัตราค่าเช่าของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเต็มปี จากปีก่อนที่จ่ายเพียง 9 เดือน ขณะเดียวกันการเมืองไม่สงบ ทำให้เราต้องลดค่าเช่าพื้นที่ ฉะนั้นกำไรย่อมหายไปส่วนหนึ่ง ถามว่าปีนี้เราไม่มีกำไรจากรายการพิเศษหรือไม่ เรามีกำไรจากการขายที่ดินและหุ้นเนชั่น แต่ก็ไม่มากเหมือนปีก่อน”
ว่าด้วยเรื่องพอร์ตลงทุน
“สุเวทย์ ธีรวชิรกุล” พูดถึงนโยบายการบริหารพอร์ตลงทุนของบริษัทว่า เป้าหมายการลงทุนของบริษัท คือ ต้องได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8-10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งที่ผ่านมาเราก็สามารถทำได้ตามเป้าหมาย ล่าสุดพอร์ตลงทุนของบริษัทอยู่ระดับ 6,000 ล้านบาท โดยมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของ MBK
ปัจจุบัน MBK ลงทุนผ่านหลายบริษัท เช่น บมจ.ทุนธนชาต หรือ TCAP สัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ และบมจ.ดุสิตธานี หรือ DTC สัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้น MBK ยังถือหุ้น โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) หรือ ROH สัดส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ ผ่านบริษัท เอ็ม บี เค โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด เป็นต้น
การบริหารทุกความเสี่ยง คือ เอกลักษณ์ของ MBK ที่ผ่านมาเราใช้เวลาศึกษาเรื่องลงทุนค่อนข้างนาน ก่อนลงทุนเราต้องวิเคราะห์ผลตอบแทน และดูเรื่องความเสี่ยงว่ามีมากน้อยแค่ไหน สามารถป้องกันความเสี่ยงได้หรือไม่ ทุกการลงทุนของเราจะพยายามทำให้มีกำไร
“ใครชอบหุ้นหวือหวาคงถือหุ้น MBK ไม่ได้ ใครที่ถือหุ้น MBK ขอให้คิดว่า นำเงินมาฝากแบงก์ อย่างน้อยคุณก็ได้รับเงินปันผล 3 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ แม้จะน้อยกว่าเดิมที่เคยจ่ายมากถึง 5-6 เปอร์เซ็นต์ แต่เราพยายามสร้างความมั่นคงต่อไป”