'องอาจ สิงห์ลำพอง'ลูกหม้อผู้'สานฝัน' เฮียฮ้อ

คว้าฝันเป็นผู้กำกับหนังเมื่อ 20 ปีก่อน แต่ก้าวใหม่ของ'องอาจ สิงห์ลำพอง' คือสานฝัน'เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศัก
ยกตำแหน่งลูกหม้ออาร์เอส ให้กับ "โด่ง องอาจ สิงห์ลำพอง" ผู้อำนวยการสายงานโทรทัศน์ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กุมบังเหียนสถานีโทรทัศน์ "ช่อง 8 ดิจิทัลทีวี" หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในสมรภูมิทีวีดิจิทัล เพราะตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ ก็ได้ทำงานที่รัก นั่งแท่นผู้กำกับมิวสิควีดิโอ (MV) ภาพยนตร์ ละคร ภายใต้ชายคาอาร์เอส
อะไรทำให้ "รัก" องค์กรแห่งนี้
"ไม่ใช่ไม่มีที่ไป มีคนมาจีบบ่อย" เขาหัวเราะก่อนให้เหตุผลถึงการทำงานกับอาร์เอสมานานเกือบ 20 ปีว่า เพราะ(หนึ่ง)ทำงานแล้วเกิดความผูกพัน (สอง)ใช้ชีวิตทำงานที่นี่มากกว่าอยู่บ้าน กลับไปนอนพักผ่อนที่บ้าน รุ่งเช้าก็ตื่นมาทำงานที่อาร์เอสอีก เสาร์-อาทิตย์ก็ออกไปทำงานนอกบ้าน(สาม)ไม่มีการเมืองในองค์กร ทำงานแล้วสบายใจ และ(สี่)ชอบทำงานกับคนเก่ง
"พี่พูดตรงๆ นะเท่าที่ได้พูดคุยกับคนระดับบริหารมาเยอะ พี่ว่า "เฮียฮ้อ" (สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ บอสใหญ่อาร์เอส) เป็นคนเก่งที่สุดเท่าที่เคยได้คุย ทำให้เราได้เรียนรู้ไม่รู้จบ เรียนรู้วิธีการทำงานแบบหนึ่งก็จะถูกเปลี่ยนและพัฒนาไป มีโจทย์ใหม่ที่นายทำแล้วแก้ไข แต่เราได้เรียนรู้ ทำให้เราเก่งขึ้น" องอาจ เล่า
ก่อนจะบอกว่า เป็นธรรมดาของการทำงานระหว่างนายกับลูกน้อง ที่จะต้องกระทบกระทั่งกัน หนีไม่พ้นเมื่อทำผิดพลาดต้องโดนตำหนิ แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขารับได้ และไม่เคยนำมาเป็นเหตุให้ "ตีจาก" อาร์เอส
"มีนายเป็นห้องเรียนที่ดี ทำงานแล้วสบายใจ เวลาทำงานแล้วโดนตำหนิ พี่ยอมรับได้เพราะเราทำผิดพลาดจริงๆ แต่ถ้ามีคนมาตำหนิพี่ โดยที่พี่ไม่ผิด อันนั้นพี่ไม่ชอบ แต่พี่ว่าถ้านายจะตำหนิก็ต่อเมื่อนายเห็นว่ามันผิด บางคนมองและรู้สึกเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับพี่ไม่ใช่"
ด้วยฝีไม้ลายมือพอตัว ผลงานเป็นที่ประจักษ์ เฮียฮ้อเลยจัดเก้าอี้ผอ.ช่อง 8 ให้นั่ง งานใหญ่และหิน! แต่ "องอาจ" กลับไม่มองเช่นนั้น อาจเป็นเขามี "แต้มต่อ" จากการผ่านงานกำกับละคร MV ภาพยนตร์ บริหารคน คอนเทนท์ และบริหารงบประมาณมานักต่อนัก
สิ่งที่ต่างไปจากเดิมสำหรับเขาจึงมีเพียง "Scale" ของงานที่ "ใหญ่ขึ้น" เท่านั้น
"จากเด็กนิเทศมาสู่นักบริหาร ในมุมพี่ไม่รู้สึกว่ายากนะ แต่ถามว่าทำได้ดีที่สุดไหม พี่ว่ายังทำได้ไม่ดีที่สุด"
เขาบอกด้วยว่า "การทำช่องอื่นไม่รู้ แต่การทำช่อง 8 อาจเป็นความโชคดีที่เราเข้าใจและผลิตคอนเทนท์เองเป็น สามารถดูได้ว่าคอนเทนท์ไหนใช่หรือไม่ใช่ ถ้าสิ่งไหนไม่ใช่จะแก้ไขยังไงให้มันใช่ ก็ต้องมาจากประสบการณ์ล้วนๆ" นั่นคือเป็นองค์ความรู้ที่ได้รับจากการคร่ำหวอดกับแวดวงจอแก้ว จอเงินมาตั้งแต่เด็กจนโต
ยิ่งวันนี้ "โปรดักชัน(การผลิต)" เป็นสิ่งที่ช่อง 8 ต้องการมาก "องอาจ" เผย
การวาง Positioning ช่อง 8 เป็น "วาไรตี้" ยังหนีไม่พ้นต้องทำคอนเทนต์ให้หลากหลาย สะกดสายตาคนดูไม่ให้หนีไปไหน "โปรดักชัน" จึงถูกนำมาใช้กับช่องเพื่อให้สถานีมี "ไดนามิค" เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งแนวคิด คอนเทนต์ กระบวนการทำงาน ตลอดจนการแก้ปัญหาทุกอย่างต้อง "เร็ว" แม้ผู้ชมทางบ้านผ่านหน้าจอโทรทัศน์จะไม่ทันได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง ก็ตาม
"พี่ทำวาไรตี้มาตั้งแต่เด็ก หมายความว่าทำเพลงรู้จักเพลง ทำละครก็รู้จักละคร ทำหนังได้ ทำรายการทีวีได้ ทุกอย่างเราเคยทำมาหมด ฉะนั้นทุกคอนเทนต์ในช่อง 8 อยู่ในความสามารถที่เราจะทำได้อยู่แล้ว" เขาเชื่อมั่น
อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่คิด "ปลดระวาง" ตัวเองจากการทำงาน แต่องอาจก็แอบส่งสัญญาณให้รู้ว่า ถ้าใครจะมานั่งเก้าอี้ผอ.สถานีต่อจากเขาจะต้อง "ครบเครื่อง"
"คนจะทำช่อง 8 ในอนาคต ไม่ว่าใครก็ตามที่จะเข้ามาบริหารงานต่อก็ต้องมี Skill ที่ครบแบบนี้ บริหารอย่างเดียว พี่ว่าเอาช่อง 8 ไม่รอด พูดจริงๆ มันต้องเป็นคนที่มีทักษะหลากหลาย นอกจากบริหารแล้วต้องทำโปรดักชันค่อนข้างเยอะ"
ก่อนหน้านี้มีประเด็นใหญ่โต คือการถ่ายทอดสด "ฟุตบอลโลก 2014" ผ่านฟรีทีวี อาร์เอส ในฐานะผู้ได้รับสิทธิเผยแพร่การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ปี 2014 ในประเทศไทย ต้องรับมือกับกฎเหล็ก "มัสต์แฮฟ" ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ทว่า ท้ายที่สุดก็เกิดมหกรรม "คืนความสุข" ให้คนไทยได้ชมบอลโลกผ่านช่อง 5 และช่อง 7 นอกเหนือจากช่อง 8 ดิจิทัลทีวี โดย กสทช.ต้องจ่ายเงินเยียวยาให้กับอาร์เอส 427 ล้านบาท แลกกับการถ่ายทอดสดดังกล่าว
องอาจบอกว่า มรสุมดังกล่าวถือเป็น "บทเรียน" สำหรับให้กับเขาและอาร์เอส
"เฮียบอกว่าบอลโลกคราวนี้คือบทเรียนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยเผชิญ ในมุมเฮียพี่คิดว่าเฮียภูมิใจมากที่เราฝ่าฟันปัญหานี้มาได้ จริงๆงานนี้ต้องชมคุณสุรชัยที่สุด รองมาก็ทีมบริหารคุณพรพรรณ (เตชรุ่งชัยกุล) คุณดามพ์ (นานา) และช่อง 8 เอง ที่ช่วยกันผ่านวิกฤติคราวนี้ได้แบบมีแผลน้อยที่สุด"
แม้บอลโลกจะช่วยให้ช่อง 8 เรตติ้งพุ่งรั้งอันดับ 3 บนชาร์จ ภายใน 2 เดือน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ แต่แค่ประเดี๋ยวประด๋าว เพราะหลังจากนั้นเขาคาดว่าเรตติ้งจะตกลง 20% จึงต้องลุยปรับแผนและผังรายการรักษาฐานผู้ชม (eyeball) ไว้ให้คงเส้นคงวา เพราะความความหวังคือการครองใจผู้ชมติด 1 ใน 3 ผู้นำทีวีดิจิทัลภายใน 2 ปีจากนี้
"ต้องทำให้แตะ 1 ใน 3 ให้ได้ อยู่นานไม่นานค่อยว่ากัน"
ทว่า...เป้าหมายใหญ่ที่ใหญ่กว่านั้น ในเก้าอี้บริหารเขาก็ต้องการทำให้ช่อง 8 เป็น "ที่ 1 ของประเทศ"
"อยากทำในสิ่งที่คุณสุรชัยฝัน แต่คนเราประเมินตัวเองออกว่าถึงเวลาหรือยัง ถามว่ามีโอกาสไหม ก็บอกว่ามี แต่แค่ว่าเมื่อไหร่ ซึ่งใจอยากทำให้ได้ภายในระยะเวลา 10 ปี ช่วงที่เราทำงานบริหารอยู่ ถามว่าฝันเฟื่องไหม ไม่ได้ฝันเฟื่อง"
ขณะที่เป้าหมายชีวิต "องอาจ" กลับประสบความสำเร็จในสิ่งที่ฝันและตั้งใจมาตั้งแต่ 20 ปีก่อน
นั่นคือการเป็น "ผู้กำกับภาพยนตร์"
"Goal ของพี่จริงๆ คือการเป็นผู้กำกับหนัง ซึ่งถึงฝั่งฝันไปเมื่อ 20 ปีก่อน รู้สึกว่าสิ่งที่ทำทุกวันนี้คือกำไรหมด" เขาเล่าอย่างสบายใจ ก่อนแซวตัวเองต่อว่า
"ตอนนี้อยู่อาร์เอสก็นึกไม่ออกแล้วว่าอยากทำอะไร นอกจากเป็น "เฮีย"..ซึ่งก็ไม่เอาไง" พูดจบก็หัวเราะร่วน
ไม่ว่าจะกำกับหนัง ละคร หรือกำกับธุรกิจจอแก้ว องอาจยังเชื่อว่า ทุกรอยเท้าที่ย่ำเดินจะพบความก้าวหน้าเสมอ
"เรามั่นใจว่าจะเป็นผู้นำในดิจิทัลทีวีในอนาคต" พูดจบประโยคเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
"คร้าบ...เฮียครับ" ปลายสายคงไม่ต้องบอกว่าใครโทร.มา