STANLY - เก็งกำไร

STANLY - เก็งกำไร

ต้นทุนสินค้าใหม่กดดันกำไร รอฟื้นครึ่งปีหลัง

บันทึกกำไรจากการขายหุ้นในบริษัทร่วม 290 ล้านบาท เข้า 2Q59

เราคาดว่าผลประกอบการใน 1Q59 (เมษายน –มิถุนายน) ที่ผ่านมา ที่บริษัทมีกำไรสุทธิเพียง 176 ล้านบาท (-52%QoQ และ -14%YoY) น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี เนื่องจากบริษัทมีการบันทึกต้นทุนค่าเสื่อมราคาและต้นทุนผลิตโมเดลใหม่ของลูกค้าโตโยต้า และมิตซูบิชิที่เพิ่มเข้ามา แต่รายได้จากโมเดลใหม่จะเริ่มทยอยเข้ามาตั้งแต่ใน 2Q59 ซึ่งจะช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำกำไรเริ่มดีขึ้น ล่าสุดบริษัทแจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติการขายหุ้นในบริษัท ซัมไฮเทคส์ จำกัด ที่บริษัทถืออยู่จำนวน 170,040 หุ้น สัดส่วน 16.35% คิดเป็นมูลค่า 290 ล้านบาท ให้กับ บริษัท ซี อูเอมูร่า แอนด์ โก จำกัด ประเทศญีปุ่น เนื่องจากบริษัทร่วมดังกล่าวมีธุรกรรมทางการค้าระหว่างกันลดลง และขายได้ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะทำให้กำไรใน 2Q59 พลิกกลับมาเติบโตโดดเด่นอย่างไรก็ตามรายการดังกล่าวเป็นรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว

ปรับลดประมาณการกำไรจากการดำเนินงานปกติ สะท้อนต้นทุนที่สูงกว่าคาด

แม้เราคาดการณ์ผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี จะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสแรก และภาพรวมทั้งปีเรายังคงประมาณการรายได้ของ STANLY เติบโต 10% YoY เป็น 1.05 หมื่นล้านบาท ซึ่งอิงสมมติฐานยอดผลิตรถยนต์ของอุตสาหกรรมในปีนี้ที่ 2 ล้านคัน (+6%YoY) แต่ด้วยประสิทธิภาพในการทำกำไรใน 1Q59 ที่อ่อนแอกว่าที่เราคาดไว้ ทำให้เรามีการปรับลดประมาณการกำไรปกติในปีนี้ลงจากเดิม 13% เหลือ 1,083 ล้านบาท (-5% YoY) จากการปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขึ้นต้นลงจากเดิมที่ 18.3% เหลือ 15.6% อย่างไรก็ตามหากรวมรายการพิเศษกำไรจากการขายหุ้นใน บริษัท ซัมไฮเทคส์ และรายการตั้งสำรองขาดทุนจากการขายแม่พิมพ์ คาดว่า บริษัทจะมีกำไรสุทธิที่ 1,300 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการเดิมของเรา 4%

แนะนำ “เก็งกำไร” ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุด แต่ Upside จำกัด

เราแนะนำ “เก็งกำไร” ระยะสั้นบริษัทมีประเด็นบวกจากข่าวบันทึกกำไรจากกการขายหุ้นเข้ามา อย่างไรก็ตามรายการดังกล่าวเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ในด้านผลประกอบการเราคาดว่าผ่านจุดที่แย่สุดของปีไปแล้วในไตรมาสที่ผ่านมา ในช่วงที่เหลือของปีจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อการปรับลดประมาณการยังมี จากภาวะอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่ตลาดคาดเนื่องจากอุปสงค์การบริโภคในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว เช่นเดียวกับตลาดต่างประเทศติดลบต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ในด้านราคาหุ้นเริ่มมี Upside จำกัดเมื่อเทียบกลับราคาเป้าหมายใหม่ของเราที่ 184 บาท ปรับลดจากเดิมที่ 212 บาท สะท้อนการปรับลดประมาณการกำไร อิง Core EPS ที่ 14.1 บาท โดยใช้ P/E กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ 13 เท่า