“เหรียญทอง ลามิทิวบ์” นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ไทยในตลาดโลก

“เหรียญทอง ลามิทิวบ์” นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ไทยในตลาดโลก

“เหรียญทอง ลามิทิวบ์”ผู้ผลิตหลอดลามิเนตรายใหญ่ที่สุดในไทยและกำลังเปล่งแสงสดใสในตลาดโลก พวกเขาใช้“นวัตกรรม”ทำของที่แตกต่างมาสู้กับคู่แข่งโลก

“นวัตกรรม เป็นสิ่งที่เรามุ่งมั่นทำมาตลอด เพราะคิดว่าเป็นจุดเดียวที่จะทำให้เราแข่งกับบริษัทระดับโลกได้”

คำบอกเล่าของ “กุ๊กกุ๊ก-สุรัชนี ลิ่มอติบูลย์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เหรียญทอง ลามิทิวบ์ จำกัด วัย 34 ปี เจน 3 ของ “กิมไป๊กรุ๊ป” ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์สัญชาติไทยที่อยู่ในสนามมานานกว่า 8 ทศวรรษ (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2475)

เหรียญทอง ลามิทิวบ์ คือหนึ่งในบริษัทลูกของกิมไป๊ ที่ก่อตั้งโดยทายาทรุ่น 2 “ดร.สุเมธ ลิ่มอติบูลย์” คุณพ่อของ สุรัชนี เมื่อกว่า 30 ปีก่อน (พ.ศ.2528) โดยรับหน้าที่ผลิตหลอดเอ็กซ์ทรูด (Extrude Tubes) และหลอดลามิเนต (Laminate) เช่น หลอดยาสีฟัน หลอดบรรจุครีม แชมพู ฯลฯ ซึ่งเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในภูมิภาคที่สามารถผลิตหลอดลามิเนตได้ โดยมีกำลังการผลิตสูงถึง 1.3 พันล้านหลอดต่อปี ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตหลอดที่ใหญ่ที่สุดในไทย และยังมีโรงงานที่เวียดนาม ซึ่งผลิตได้อีกประมาณ 300 ล้านหลอดต่อปี ซึ่งปัจจุบันทำตลาดอยู่ใน 40 ประเทศทั่วโลก

“สำหรับหลอดลามิเนต ในภูมิภาคนี้ยังไม่มีใครทำ แต่เราต้องแข่งกับประเทศที่มาจากภูมิภาคอื่น” เธอบอก

ที่คนทำน้อย เพราะวิธีการทำค่อนข้างยุ่งยาก เมื่อเทียบกับหลอดประเภทอื่น เนื่องจากต้องใช้การเป่าฟิล์มขึ้นมา แล้วนำมาประกบติดกันให้เป็นหลอด ถ้าทำไม่ดีก็มีรอยเชื่อมทำให้คนมองเป็นหลอดราคาถูก ขณะที่ค่าอุปกรณ์ก็แสนแพง แถมมาร์จิ้นก็ยังน้อยนิด ถ้าผลิตแบบไม่มีนวัตกรรม ก็แทบไม่มีอะไรหอมหวานเลยในตลาดนี้

นั่นคือ “ข้อจำกัด” ที่บีบให้ในตลาดโลกมีผู้ผลิตอยู่แค่พอนับนิ้วได้ โดยเธอว่า บริษัทรายใหญ่สุดในโลก ที่มีกำลังการผลิตระดับ 5-6 พันล้านหลอดต่อปี มีอยู่แค่ประมาณ 2 เจ้า ส่วนเหรียญทอง ลามิทิวบ์ ถือเป็นบริษัทขนาดกลาง

โดยหากรวมกับโรงงานที่เวียดนาม สามารถผลิตได้ประมาณ 1.5 พันล้านหลอดต่อปี นอกนั้นก็เป็นแค่โรงงานขนาดเล็กผลิตในระดับ 200-300 ล้านหลอดเท่านั้น

แม้จะมีคู่แข่งไม่มากราย แต่การแข่งกับตลาดโลก “ไม่ง่าย” โดยเฉพาะคู่แข่งรายใหญ่ที่มีโรงงานผลิตอยู่ในประเทศอย่างจีนและอินเดีย ที่ต้นทุนถูกกว่า แถมยังได้เรื่อง Economy of Scale ครองความได้เปรียบจากกำลังการผลิตที่สูงกว่าด้วย ฉะนั้นสิ่งเดียวที่ผู้ผลิตพันธุ์ไทยอย่างพวกเขาจะสู้ได้ ก็คือ ทำอย่างไรให้ลูกค้าคิดว่า ‘ถ้าอยากได้ของที่ดีที่สุด มีคุณภาพที่สุดต้องมาที่ เหรียญทอง ลามิทิวบ์’

"แน่นอนว่า ลูกค้าย่อมต้องการราคาถูกที่สุด ถ้าเป็นของที่เหมือนๆ กัน แต่เผอิญว่าของเรา ‘ไม่เหมือน’ ในวงการนี้ทุกคนจะรู้จักเราในฐานะ บริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดเวลา หลอดของเราสวยที่สุด และโดดเด่นที่สุด มาที่เราคุณภาพไม่ผิดหวัง อันนี้ลูกค้าสัมผัสได้”

พวกเขาบอกจุดแข็งที่เกิดขึ้นหลังเริ่มปรับกลยุทธ์มาสู่การสร้าง “นวัตกรรม” เพื่อเพิ่มมูลค่าและแต้มต่อในการแข่งขัน จนปัจจุบันลูกค้าเจ้าใหญ่ๆ ในตลาดโลกเกือบทุกเจ้าก็ล้วนเป็นลูกค้าของพวกเขา

“ราคาเราอาจไม่ได้ถูกที่สุดก็จริง แต่เราเป็นคนที่ตามใจลูกค้า โดยลูกค้าอยากผลิตของใหม่ ในปริมาณน้อยๆ หรืออยากทดลองพัฒนางานใหม่ๆ เราก็ทำให้ได้หมด เรียกว่า ลูกค้าขออะไร ก็ทำให้ตลอด เรามีจุดเด่นในเรื่องนี้” เธอบอกเช่นนั้น

เมื่อการรักษา “ความพึงพอใจของลูกค้า” คือเป้าหมายสำคัญ เลยเป็นที่มาของการพัฒนานวัตกรรมอย่างไม่หยุดนิ่ง ผ่านทีมวิจัยและพัฒนาที่มีอยู่กว่า 10 ชีวิต ทั้งมุ่งเน้นในการรักษามาตรฐาน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างเคร่งครัด ในวันนี้เราเลยได้เห็นหลอดนวัตกรรมของเหรียญทอง ลามิทิวบ์ เฉิดฉายอยู่ในทุกชั้นวางสินค้า และแฝงอยู่ในแทบทุกครัวเรือนไทย โดยมีลูกค้าหลักๆ อย่าง คอลเกต, GSK, Lion, Beiersdorf, P&G และ Unilever เป็นต้น

ด้วยจุดขายอย่าง การขึ้นรูปหลอดลามิเนตโดยเชื่อมรอยต่อให้มีความแข็งแรง เรียบเนียน สวยงาม และเพิ่มลูกเล่นในการทำหลอดได้ตามที่ลูกค้าต้องการ แถมยังช่วยลดต้นทุน และทำให้สินค้ามีภาพลักษณ์ที่ “พรีเมียม” ขึ้นด้วย

“ที่ผ่านมาเราจะไปหาลูกค้าตลอดเพื่อบอกเขาว่า ตอนนี้เรามีของใหม่อีกแล้ว เป็นนวัตกรรมที่เราเพิ่งทำได้ อยากให้เราทำให้ไหม อันนี้จะช่วยให้ของคุณถูกลงและสวยขึ้นได้นะ ขณะเดียวกันเรายังลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องด้วย เพื่อทำของที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอยู่เสมอ” เธอบอกกลยุทธ์พิชิตใจลูกค้า

ปัจจุบัน เหรียญทอง ลามิทิวบ์ มีรายได้ประมาณ 2 พันล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 20% ของธุรกิจในเครือกิมไป๊กรุ๊ป ซึ่งนอกจากความสำเร็จในด้านรายได้ พวกเขายังมีรางวัลการันตีความสำเร็จมากมาย เช่น รางวัลซัพพลายเออร์ยอดเยี่ยมจากคอลเกตติดต่อกันถึง 19 ปี รางวัล Zero Defects Award จากจอห์นสัน และล่าสุดกับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ครั้งที่ 11 ด้วยความโดดเด่นในมิติองค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า

“สุรัชนี” เข้ามาช่วยดูธุรกิจเมื่อประมาณปี 2552 เธอเรียนจบด้านวิศวกรรมเคมี ก่อนไปคว้า MBA ที่ Kellogg สหรัฐอเมริกา ซึ่งการตัดสินใจเข้ามาสานต่อธุรกิจของครอบครัวนั้น ด้วยผู้เป็นพ่อหวังให้มาซึมซับวิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ และนับเป็นความเชี่ยวชาญของสุเมธในฐานะนักเคมีอีกด้วย ขณะที่น้องชาย “สุรภาพ ลิ่มอติบูลย์” วัย 31 ปี ก็มาช่วยดูโรงงานการผลิต และการลงทุน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับ เหรียญทอง ลามิทิวบ์ ในยุคของทายาทอย่างเต็มภาคภูมิ

รุ่นปู่ทำดี พ่อทำเยี่ยม คนรุ่นหลานกดดันบ้างไหม? สุรัชนี บอกเราว่า ไม่ได้กดดัน เพียงแต่คิดตลอดว่า จะต้องทำอย่างไรก็ได้ให้เก่งขึ้นกว่ารุ่นพ่อ

“คุณพ่อท่านเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ที่ดีมาก ผลิตของดี และผลิตแต่ของใหม่ๆ ตลอดเวลา ท่านสอนอะไรหลายอย่าง อย่างพวกเคมี ซึ่งบางเรื่องท่านก็อาจไม่ได้อยากบอกใคร เพราะถือเป็นความลับ ก็พยายามถ่ายทอดให้กุ๊กกุ๊กกับน้องชายให้มากที่สุด นอกจากนี้ท่านยังให้พวกเราหัดคิดเอง และเรียนรู้เอง จะได้ทำทุกอย่างเองเป็น ซึ่งเราก็จะพยายามทำให้ดีกว่าในรุ่นท่าน” เธอให้คำมั่น

สำหรับแผนธุรกิจในอนาคต ทายาทสาวแห่งกิมไป๊กรุ๊ป บอกเราว่า ธุรกิจในยุคของพวกเธอจะยังต้องมี “นวัตกรรมที่ดีที่สุด” ทำของดี มีกำไร และมีลูกค้าที่ต่อเนื่อง ไม่ให้คนรุ่นก่อนหน้าต้องผิดหวัง และจะยังใช้อาวุธตัวเดียวกัน อย่าง นวัตกรรม ต่อกรกับคู่แข่งในตลาดโลก

เพื่อให้ชื่อของ “เหรียญทอง ลามิทิวบ์” และ “กิมไป๊” ยังคงเติบโตยิ่งใหญ่ แม้อยู่ในมือของทายาท

“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””

Key to success
สูตรยิ่งใหญ่แบบ เหรียญทอง ลามิทิวบ์

๐ ใช้นวัตกรรมนำพาธุรกิจ
๐ รากฐานธุรกิจเดิม เพิ่มแต้มต่อให้ธุรกิจใหม่
๐ ชูจุดขาย ของดี มีคุณภาพ สู้กับสงครามราคา
๐ เข้าหาลูกค้า แนะนำของใหม่ให้เสมอ
๐ ลงทุนด้านเครื่องจักรต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ๆ
๐ ทายาทมุ่งมั่น ต้องทำให้ดีกว่าคนรุ่นก่อน