คนรวยหันซื้อบ้าน‘เงินสด’

คนรวยหันซื้อบ้าน‘เงินสด’

แบงก์พาณิชย์ คาดสินเชื่อบ้านปีนี้ทรงตัว หลังลูกค้าหันซื้อเงินสดมากขึ้น โดยเฉพาะระดับบน เหตุดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ

ภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝาก ส่งผลให้ผู้ออมเงินเริ่มมองหาทางเลือกในการลงทุนอื่นที่มากขึ้น ขณะเดียวกันยังเลือกที่จะใช้เงินสดในการซื้อสินทรัพย์แทนการกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ โดยอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่เริ่มเห็นการใช้เงินสดในการซื้อขายกันมากขึ้น

นางพิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและธุรกิจรายย่อย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปีนี้จะทรงตัวจากปีก่อนโดยเป็นสินเชื่อใหม่ 6 แสนล้านบาท แต่จะเห็นแนวโน้มลูกค้าขอสินเชื่อน้อยลง และหันไปใช้เงินสดซื้อบ้านมากขึ้น หรือกว่า 60% จ่ายเงินสด โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม เห็นได้จากตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 5-6% แต่สินเชื่อบ้านจะทรงตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำทำให้ผู้ที่มีฐานะระดับบนเลือกที่จะใช้เงินสดซื้อบ้านมากกว่าการใช้สินเชื่อ

ในส่วนของธนาคารปีนี้ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ 1.15 แสนล้านบาท เท่ากับปีก่อนแต่เพิ่มขึ้นสุทธิ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้พอร์ตสินเชื่อรวมในสิ้นปีนี้อยู่ที่ 6 แสนล้านบาท เทียบกับสิ้นปีก่อนที่มี 5.7 แสนล้านบาท

นางพิกุล กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลในปีที่ผ่านมาลดจาก 2.3% มาอยู่ที่ 2.1% เนื่องจากในไตรมาสสุดท้าย ตั้งหน่วยงาน FCR(Fill collecting representative) ซึ่งจะทำหน้าที่เตือนล่วงหน้าหากเห็นว่าลูกค้าเริ่มมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยจะส่งทีมงานไปให้คำแนะนำปรึกษาลูกค้า โดยจะจับคะแนน และส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า และเข้าไปให้คำแนะนำหรือปรับโครงสร้างหนี้ ช่วยทำให้เอ็นพีแอลลดลง โดยในปีนี้ธนาคารพยายามคุมเอ็นพีแอลให้อยู่ในระดับ 2.3%

"ในปีนี้ต้องระวังลูกค้าผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงสูงกว่ามนุษย์เงินเดือน พนักงานหน้าโครงการจะเข้าไปดูแลลูกค้าแต่ละอาชีพมากขึ้นหรือให้ซ้อมผ่อนก่อน โดยเฉพาะตลาดบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท หรือคอนโดมิเนียมราคา 1 ล้านบาทต้น ส่วนมนุษย์เงินเดือนแม้จะไม่น่าห่วงเท่า แต่ก็ยังเริ่มเห็นหนี้ครัวเรือนเพิ่ม"

ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมายอดปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารอยู่ที่ 25% เพิ่มขึ้นจากปี 2557 อยู่ที่ 22% แต่ปีนี้จะคุมไม่เกิน 25% โดยจะพยายามไม่ปฏิเสธสินเชื่อมากนักและเน้นคุยและให้คำปรึกษากับลูกค้าให้จบก่อนจะเริ่มผ่อนบ้าน เพราะเรามาร์เก็ตแชร์เบอร์ 1 ก็ต้องดูแลผู้ประกอบการด้วย

นางพิกุล กล่าวอีกว่า โจทย์ของธนาคารในปีนี้คือการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานไปสู่ยุคดิจิทัลในการให้สินเชื่อมากขึ้นโดยระบบใหม่นอกจากจะช่วยให้อนุมัติสินเชื่อล่วงหน้าให้ลูกค้าแล้ว ระบบใหม่ยังจะช่วยให้ธนาคารสามารถประเมินตลาดในแต่ละทำเล เช่นถนนพระราม 5 มีกี่โครงการอสังหากี่โครงการ เป็นของธนาคารกี่โครงการ อัตราขายเฉลี่ยของผู้ประกอบการเท่าไร และบอกได้ถึงขั้นว่าพื้นที่นั้น ๆ มีเอ็นพีแอล และหากเป็นเอ็นพีเอยึดมาจะขายได้เท่าไร ช่วยให้แบงก์เห็นภาพรวมมากขึ้น

นอกจากนี้ยังจะยกระดับตัวเองในการให้บริการทางการเงินนอกจากสินเชื่อเท่านั้น โดยพนักงานที่ประจำโครงการจะให้คำแนะนำบริการทางการเงินอื่น ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงธุรกิจกับสายงานอื่นของธนาคารด้วย โดยเฉพาะลูกค้าเอสเอ็มอีซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มเดียวกันกับสินเชื่อบ้าน จึงสามารถต่อยอดไปยังธุรกิจสินเชื่อเอสเอ็มอีของธนาคารหรือธุรกิจอื่น ๆ เช่นการบริหารเงินสดเป็นต้น

นายอลงกต บุญมาสุข ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อธุรกิจขนาดย่อม ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ความต้องการสินเชื่อบ้านยังมีอยู่ แต่ยอมรับว่าในช่วงดอกเบี้ยต่ำทำให้ลูกค้าระดับบนที่ใช้เงินสดซื้อบ้านมากขึ้นโดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนที่มีการใช้เงินสดเป็นหลัก แต่โดยภาพรวมแล้วลูกค้าของธนาคารยังใช้สินเชื่อบ้านเฉลี่ย 80% ของมูลค่าบ้านโดยเฉพาะบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท

นอกจากนี้เศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้เริ่มเห็นสัญญาณว่าคุณภาพหนี้ในกลุ่มของผู้ประกอบการปรับตัวแย่ลงด้วย ซึ่งหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐจะช่วยพยุงตลาดได้ทัน

"เอ็นพีแอลของลูกค้ากลุ่มเจ้าของกิจการมีมากขึ้นโดยเฉพาะตลาด 3 ล้านบาทลงมา เริ่มมีความเสี่ยงสูงกว่าลูกค้ากลุ่มข้าราชการหรือมนุษย์เงินเดือน"