'นิพัทธ' อดีตอธิบดีธนารักษ์ อ่วม! ศาลฎีกายืนสั่งชดใช้534ล้าน
"นิพัทธ พุกกะณะสุต" อดีตอธิบดีธนารักษ์ อ่วม! ชดใช้กว่า534ล้าน หลังศาลฎีกาพิพากษายืน อนุมัติซื้อหุ้นบีบีซีกว่า350ล. ไม่ผ่านบอร์ด-รมว.คลัง
ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 7 มิ.ย.59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลแพ่ง ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่ธนาคารออมสิน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายนิพัทธ พุกกะณะสุต อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์และอดีตอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นจำเลย จากกรณีขณะดำรงตำแหน่ง เป็นประธานคณะกรรมการ ธ.ออมสิน ในเดือน มิ.ย.38 ได้เร่งรัดอนุมัติเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุน ของธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี จำนวน 375 ล้านบาท โดยไม่ผ่านมติคณะกรรมการ ธ.ออมสิน ภายหลัง รมว.คลัง มีคำสั่งระงับไม่ให้บีบีซีประกอบธุรกิจต่อไป ทำให้ ธ.ออมสิน โจทก์ ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย534,657,5347.24บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากเงินต้น 375 ล้านบาท นับจากวันถัดฟ้องเป็นต้นไป
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้นายนิพัทธ จำเลยชดใช้ จำนวน 534,657,5347.24บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีจากเงินต้น 375 ล้านบาท นับแต่วันที่ 9 มี.ค.44 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ต่อมานายนิพัทธ จำเลยได้ยื่นฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.38 หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการ ธ.ออมสินแล้ว จำเลยได้เสนอเรื่องบีบีซี เสนอขายหุ้นเพิ่มทุน กับธ.ออมสิน โจทก์ จำนวน 25 ล้านหุ้นๆ ละ 15 บาท รวมเป็นเงิน 375 ล้านบาท ให้ที่ประชุมทราบ โดยไม่อยู่ในวาระการประชุม ต่อมาวันที่ 30 มิ.ย.38 จำเลยอนุมัติให้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามคำเสนอของบีบีซีดังกล่าว และวันที่ 4 ก.ค.38 ธ.ออมสิน โจทก์ ชำระเงิน 375 ล้านบาท ให้บีบีซี ต่อมา วันที่ 14 ก.ย.41 กระทรวงการคลัง มีคำสั่งให้ยุติกิจการของบีบีซี
ศาลเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ธนาคารออมสิน พ.ศ.2489 กำหนดให้ ธ.ออมสิน โจทก์ ประกอบธุรกิจได้ในขอบเขตจำกัด การลงทุนนอกเหนือจากที่กำหนดต้องได้รับอนุญาตจาก รมว.คลัง การที่ ธ.ออมสิน ลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบีบีซี จึงต้องได้รับอนุญาตจาก รมว.คลัง ซึ่งเคยอนุญาตให้ ธ.ออมสิน โจทก์ ลงทุนในกิจการของสถาบันการเงินประเภทบริษัทเงินทุน , บริษัทหลักทรัพย์ , บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และบริษัทประกันภัยเท่านั้น แต่ไม่เคยอนุญาตให้ ธ.ออมสิน โจทก์ ลงทุนในสถาบันการเงิน ประเภทธนาคารพาณิชย์อย่างเช่น บีบีซี อีกทั้งการบริหารกิจการของ ธ.ออมสิน โจทก์ ต้องกระทำภายใต้การตัดสินใจร่วมกัน ของคณะกรรมการ ธ.ออมสิน
การที่นายนิพัทธ จำเลย แถลงในที่ประชุมคณะกรรมการ ธ.ออมสินเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.38 โดยไม่มีวาระการประชุมเรื่องดังกล่าวมาก่อนว่าสมควรซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบีบีซี และเมื่อดำเนินการแล้วจะนำเสนอคณะกรรมการให้สัตยาบันต่อไป จึงบ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนาให้ ธ.ออมสิน โจทก์ ต้องซื้อหุ้นเพิ่มทุนมาแต่ต้น โดยไม่ต้องผ่านคณะกรรมการ แต่จะดำเนินการขอสัตยาบันในภายหลัง และได้สั่งการให้นายวิบูลย์ อังสนันท์ ผอ.ธนาคารออมสิน พิจารณาตามที่จำเลยแจ้งในที่ประชุมทั้งที่คณะกรรมการไม่เคยมีมติในเรื่องซื้อหุ้นเพิ่มทุน ของธนาคารบีบีซีแต่อย่างใด จึงเป็นการจงใจสรุปผลมติการประชุมให้คลาดเคลื่อนเพื่อผลสำเร็จในการซื้อหุ้นดังกล่าว ต่อมานายวิบูลย์ ได้มีบันทึกเสนอว่าสมควรซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบีบีซีโดยอ้างว่า กระทรวงการคลังเคยอนุมัติในหลักการให้ ธ.ออมสิน โจทก์ สามารถนำเงินไปลงทุนสถาบันการเงินได้ และจำเลยได้สั่งการอนุมัติในวันเดียวทันที โดยไม่ตรวจสอบว่า ธ.ออมสิน โจทก์ มีอำนาจการลงทุนตามที่รายงานหรือไม่ จำเลยยังชี้แจงเหตุผลในที่ประชุมด้วยว่าได้หารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) และรมว.คลังเรื่องนี้แล้ว ซึ่งนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รมว.คลังขณะนั้น ปฏิเสธไม่เคยหารือกับจำเลยมาก่อน จึงเป็นการนำข้อเท็จจริงไม่ถูกต้องชี้แจงต่อคณะกรรมการ ธ.ออมสิน โจทก์ เพื่อโน้มน้าวให้มีการให้สัตยาบันแก่การกระทำของจำเลย
ขณะที่ช่วงเกิดเหตุ จำเลยย่อมทราบข่าวจากสื่อต่างๆ รายงานสถานการณ์ของบีบีซี ว่าอยู่ในขั้นที่ ธปท.ต้องให้ความช่วยเหลือ ซึ่งมียอดหนี้สงสัยจะสูญสูงถึง 12,000ล้านบาท การที่นายนิพัทธ จำเลยอนุมัติเงินถึง 375 ล้านบาท ซื้อหุ้นของบีบีซี เงินส่วนหนึ่งย่อมมาจากเงินฝากของประชาชน จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
การกระทำของจำเลย จึงเป็นการละเลยและรีบเร่งอนุมัติโดยไม่ผ่านคณะกรรมการ ไม่ได้รับอนุญาตจาก รมว.คลังตามกฎหมาย จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต่อ ธ.ออมสิน โจทก์ แม้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด มีความเห็นว่านายนิพัทธ จำเลยเพียงประมาทเลินเล่อ แต่ไม่ใช่อย่างร้ายแรง ความเห็นนั้นไม่ผูกพันการวินิจฉัยของศาล
เมื่อภายหลังบีบีซี ถูกลดค่าหุ้นลงเหลือหุ้นละ 0.50 บาท และถูกปิดกิจการในที่สุด ธ.ออมสิน โจทก์ ต้องเสียหายจากหุ้นที่โจทก์ซื้อถูกลดค่าลง และบีบีซีเจ้าของหุ้นถูกปิดกิจการทำให้ ธ.ออมสินโจทก์ สูญเสียเงิน 375 ล้านบาทที่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของนายนิพัทธ จำเลย จึงต้องรับผิดชอบชดใช้เงินดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา จึงพิพากษายืน