“บีเจซี”รุกเวียดนาม เพิ่มค้าปลีก 500 สาขา ลุยอาหารแช่แข็ง

“บีเจซี”รุกเวียดนาม เพิ่มค้าปลีก 500 สาขา ลุยอาหารแช่แข็ง

“บีเจซี” ลุยลงทุนค้าปลีกเวียดนาม เล็งเปลี่ยนชื่อ “เมโทร เวียดนาม” เป็น “เอ็มเอ็ม เมก้า มาร์เก็ต”เพิ่มสาขาร้านสะดวกซื้อบีสมาร์ท500สาขาใน3-5ปี

เวียดนามเป็นประเทศที่ทุนไทยยังคงให้ความสนใจเข้าไปลงทุนต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ หรือ บีเจซี  ธุรกิจในเครือ ทีซีซี กรุ๊ป ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่รุกเข้าไปลงทุนโรงงานบรรจุภัณฑ์ ธุรกิจโลจิสติกส์ และค้าปลีก โดยมองเห็นโอกาสจากขนาดตลาดที่ใหญ่ จากประชากรกว่า 93 ล้านคน ชนชั้นกลางขยายตัวมากขึ้น สะท้อนกำลังซื้อที่ดี การเมืองค่อนข้างนิ่ง และเศรษฐกิจขยายตัวดี

นายพิษณุ พงษ์วัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มเอ็ม เมก้า มาร์เก็ต (เวียดนาม) จำกัด ผู้บริหารธุรกิจค้าปลีกร้านสะดวกซื้อบีสมาร์ท, เมโทร เวียดนาม ในเครือเบอร์ลี่ยุคเกอร์หรือบีเจซี  เปิดเผยแนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกในประเทศเวียดนามว่า ยังมีอัตราเติบโต2หลัก ขณะที่สัดส่วนค้าปลีกสมัยใหม่ยังมีสัดส่วนน้อยมาก ต่ำกว่า10% เมื่อเทียบกับค้าปลีกทั้งประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายผ่านร้านค้าทั่วไป (เทรดดิชั่นนอล เทรด) และเมื่อเทียบกับไทยสัดส่วนการค้าปลีกสมัยใหม่เกินกว่า50%

ทั้งนี้ การขยายตัวของตลาดมีมากขึ้น ส่งผลให้ มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้าไปดำเนินธุรกิจค้าปลีกในเวียดนามเพิ่ม เช่น อิออน กรุ๊ปจากญี่ปุ่น, เซเว่นอีเลฟเว่น จากญี่ปุ่น จะเข้าทำตลาดปลายปีนี้ เป็นต้น การแข่งขันในตลาดจึงสูงขึ้น

+เล็งขยายสาขาบีสมาร์ทเป็น500สาขา

สำหรับแผนการขยายธุรกิจค้าปลีกในเวียดนาม ภายใน3-5ปีข้างหน้า บริษัทต้องการเปิดร้านสะดวกซื้อบีสมาร์ท(B’s mart)ให้ได้ไม่ต่ำกว่า500สาขา จากปัจจุบันมี144สาขา เป็นเบอร์3ในตลาด โดยการเปิดสาขาใหม่จะลงทุน5-7ล้านบาทต่อสาขา ขึ้นอยู่กับขนาดของสาขา ซึ่งมีพื้นที่ตั้งแต่70-200ตารางเมตร(ตร.ม.) โดยขนาดใหญ่สุดจะเป็นขนาดของซูเปอร์มาร์เก็ต

ขณะเดียวกัน บริษัทได้ปรับตัวพิจารณาทำเลเปิดสาขาใหม่ ใน 3 เกณฑ์ ได้แก่ 1.ต้องมีที่อยู่อาศัยหนาแน่น เช่น อพาร์ทเมนท์ ไม่ต่ำกว่า2,000ห้อง ในรัศมี 500-1,000เมตร 2.ใกล้ตลาดสด เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคนิยมจับจ่ายใช้สอยที่ตลาด และ3.ใกล้โรงเรียน เพื่อช่วยรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต

+เปลี่ยนชื่อเมโทรฯเป็น“เอ็มเอ็ม เมก้า มาร์เก็ต”

ส่วนแผนธุรกิจห้างค้าปลีกประเภทซื้อสินค้าแบบชำระเงินสด(แคช แอนด์ แครี่) แบรนด์โมเทรเวียดนาม 19 สาขา ที่บีเจซีเพิ่งซื้อมา เตรียมเปลี่ยนแบรนด์จากไปสู่ 

“เอ็มเอ็ม เมก้า มาร์เก็ต” ในเดือนพ.ย.นี้ ส่วนการขยายสาขาอยู่ระหว่างวางแผนและกลยุทธ์ แต่หากลงทุนคาดว่าจะใช้งบประมาณตั้งแต่500-700ล้านบาท

ขณะที่การผนึกความร่วมมือทางธุรกิจในเครือ เบื้องต้นจะช่วยให้ร้านสะดวกซื้อของบริษัทซื้อสินค้าในปริมาณมากๆได้และราคาต่ำลง และจะเพิ่มสินค้าที่ไม่ใช่อาหารหรือนอนฟู้ดเป็นสัดส่วน 30% และอาหาร 70% จากเดิมเป็นอาหารทั้งหมด และจะนำสินค้าของเครือทีซีซี กรุ๊ปเข้าไปทำตลาดเพิ่ม แต่ยอมรับว่ายังมีความยาก โดยเฉพาะเบียร์ เพราะเวียดนามเก็บภาษีพิเศษมากถึง67%เนื่องจากรัฐต้องการปกป้องสินค้าท้องถิ่น

+คาดรายได้รวมเวียดนาม3หมื่นล้าน

อย่างไรก็ตาม หลังจากบริษัทมีเมโทรฯ เข้ามาในพอร์ต คาดว่าปีนี้จะมีรายได้รวมค้าปลีกในเวียดนามประมาณ30,000ล้านบาท เฉพาะห้างเมโทรฯ ทำรายได้กว่า27,000ล้านบาท

ด้านนายมงคล บัณฑรรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยคอร์ป อินเตอร์เนชั่นแนล (เวียดนาม) จำกัด ธุรกิจจัดจำหน่ายและผลิตสินค้าในเครือทีซีซี กล่าวว่า บริษัทลงทุน 30 ล้านบาท สำหรับโรงงานอิจิบัง โรงงานผลิตสินค้าเต้าหู้หลอด เพื่อขยายไลน์การผลิตสินค้าอาหารแช่แข็ง และขนมหวานไทยแบรนด์ลีลา(Leela) และเบเกอรีแบรนด์มาลัยไทย และเริ่มทำตลาดเมื่อ3-4เดือนที่ผ่านมา โดยมีเชฟไทย4ราย ที่เคยทำงานครัวการบินไทย13ปี และทำร้านอาหารชื่อดัง และเชฟชาวญี่ปุ่น1ราย

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการสร้างช่องทางจำหน่ายในรูปแบบ “รถเข็น” เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาซื้อขนมหวานไปจำหน่ายด้วย เบื้องต้นเตรียมนำตุ๊กตุ๊กไทย10คัน มาสร้างการรับรู้แบรนด์ให้ผู้บริโภคเวียดนามจดจำ

+ลุยธุรกิจ“สตรีทฟู้ด”

“ในอนาคตบริษัทจะรุกตลาดอาหารพร้อมทานต่างๆ ซูริมิ ปลาบด ลูกชิ้น ที่ผลิตจากอาหารทะเล ส่วนการรุกตลาดขนมหวานเพราะเวียดนามขาดแคลน การหาขนมหวานบริโภคในเวียดนามยากมาก อนาคตบริษัทจะนำโมเดลคล้ายสตรีทฟู้ดในเมืองไทยไปที่นั่น เช่น รถมอเตอร์ไซค์ที่พ่วงตู้ขายขนมหวาน และในอนาคตจะดึงร้านลูกชิ้นระเบิด ร้านอาหารข้างทางต่างๆจากไทยไปเปิดให้บริการด้วย ส่วนเป้าหมายการขายคาดไว้ที่1-2ล้านบาทต่อเดือน และระยะยาวอยากเห็น100-300ล้านบาท”

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมนำสินค้าไทย4-5แบรนด์ ไปจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าทั่วเครือข่ายของไทยคอร์ปด้วย เช่น โก๋แก่ ติ่มซำ ซาลาเปาจากซีพีแรม (ในเครือซี.พี.) อาหารทะเลจากพีเอฟพี และอุตสาหกรรมทวีวงศ์ เป็นต้น

ปัจจุบันไทยคอร์ปเป็นผู้จัดจำหน่ายและกระจายสินค้ารายใหญ่ของเวียดนาม มีตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่กว่า1,000ราย ครอบคลุม64จังหวัด และมีร้านค้าทั่วไปเครือข่ายกว่า2แสนราย ซึ่งหลักๆสินค้าที่จำหน่ายกว่า90% เป็นปลากระป๋องสามแม่ครัวและกระทิงแดง แต่จากนี้ไปจะเพิ่มสินค้าในเครือทีซีซี มากขึ้น 

ล่าสุด นำเครื่องดื่มฮันเดรด พลัส (สินค้าของเฟรเซอร์แอนด์นีฟ ธุรกิจของนายเจริญ) ไปทำตลาด โดยทำโปรโมชั่นซื้อ6ขวด แถม2ขวด กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ 

ส่วนเบียร์ช้างนำเข้าไปทำตลาดยาก เพราะแต่ละพื้นที่มีสินค้าเจ้าถิ่นครองตลาดอยู่แล้วทั้งภาคเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นไซง่อนเบียร์333เบียร์ เป็นต้น โดยสินค้าในเครือที่จำหน่ายยังมีสัดส่วนน้อยมาก และสินค้าของไทยคอร์ปส่วนใหญ่ขายผ่านร้านค้าทั่วไป95%และห้างโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อเพียง5% โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตกว่า10%จากปีก่อนมีรายได้2,700ล้านบาท

+7ปีลงทุน3หมื่นล้านบาท

แหล่งข่าวจากบมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ เปิดเผยว่า ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามด้วยเม็ดเงินประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันมีธุรกิจซัพพลายเชนครบแล้วทั้งตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ โรงงานผลิตสินค้า การจัดจำหน่ายและกระจายสินค้า และธุรกิจค้าปลีกร้านสะดวกซื้อ ห้างโมเดิร์นเทรด ซึ่งช่วยให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

“ในประเทศเวียดนาม เรามีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จากเดิมเราขาดปลายน้ำ ต้องไปง้อร้านค้าให้จำหน่ายสินค้าของเครือ แต่วันนี้เราแข็งแกร่งขึ้น และมีหน้าร้านเป็นของตัวเองแล้ว”