เปิดใจแม่ทัพ 'โอสถสภา' จัดพอร์ตหมื่นล.เข้าตลาดฯ

เปิดใจแม่ทัพ 'โอสถสภา' จัดพอร์ตหมื่นล.เข้าตลาดฯ

เปิดใจ "วรรณิภา ภักดีบุตร" แม่ทัพ "โอสถสภา" เดินหน้าจัดพอร์ตหมื่นล้านเข้าตลาดหลักทรัพย์

3 เดือนหลังรับตำแหน่ง “กรรมการผู้จัดการใหญ่” (President) บริษัทโอสถสภา จำกัด (เมื่อ 1 มิ.ย.2559) ของ “วรรณิภา ภักดีบุตร” อดีตลูกหม้อยักษ์อุปโภคบริโภครายใหญ่ อย่าง“ยูนิลีเวอร์” มาเกือบ 30 ปี บริหารแบรนด์ประสบความสำเร็จมากมาย อาทิ บรีส ซันไลท์ คอมฟอร์ท วิม โอโม ซันซิล คลีนิค โดฟ ลักส์ วาสลีน พอนด์ส ซิตร้า เรโซนา แอ็กซ์ เป็นต้น

โดยตำแหน่ง รองประธานกรรมการบริหารด้านผลิตภัณฑ์ความงาม ดูแลแบรนด์เพอร์ซันนอล แคร์ คือตำแหน่งสุดท้ายในยูนิลีเวอร์ ก่อนมารับตำแหน่งแม่ทัพโอสถสภา กับภารกิจ“ท้าทาย”ขับเคลื่อนองค์กรเกินร้อย (125 ปี) แปลงธุรกิจครอบครัวที่มั่งคั่งแห่งนี้ ในห้วงเวลาสำคัญของการ “แต่งตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” ในระยะเวลาอันใกล้

วรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด เปิดใจว่า ภารกิจที่ต้องเร่งดำเนินงานคือ การเตรียมโอสถสภา “ให้พร้อม” รับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกการค้าที่ไร้พรมแดน เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง รับมือการแข่งขันจะรุนแรงขึ้น

โดยองค์กรร้อยปี จะต้องพร้อมปรับตัว ทั้งด้านการตลาด การขาย และซัพพลายเชน เพื่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน

ทั้งนี้สิ่งหนึ่งที่จะสร้างความแข็งแกร่ง คือ การจัดทัพสินค้า อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคาดว่าจะต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะแล้วเสร็จ เนื่องจากโอสถสภา มีแบรนด์สินค้าที่ทำตลาดในประเทศจำนวนมากกว่า 20 แบรนด์ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล (เพอร์ซันนอล แคร์) เจาะกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ เช่น ผลิตภัณฑ์เบเบี้มายด์ จับกลุ่มเด็กเล็ก ไปจนถึงเครื่องดื่มชูกำลังเอ็ม-150 ผู้นำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในไทย จับกลุ่มผู้ใหญ่ วัยทำงาน เป็นต้น

“บริษัทอายุ 125 ปี ผู้บริหารในเจเนอเรชั่น 4 เช่น คุณเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการบริหาร ซึ่งเป็นครอบครัวผู้ขับเคลื่อนธุรกิจมา ตลอดจนบุคลากรในองค์กร ล้วนอยู่ในธุรกิจมานาน โจทย์ที่ได้รับจากผู้นำ คือให้เวลาเรียนรู้และทำความเข้าใจองค์กรเต็มที่ เราต้องเข้าใจจุดแข็งของโอสถสภาว่าคืออะไร แล้วขับเคลื่อนต่อ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าองค์กรมีศักยภาพสูง เมื่อจัดรูปแบบต่างๆ จัดโปรดักท์ จัดพอร์ตโฟลิโอเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าองค์กรเราจะเติบโตได้อีกมาก”
วรรณิภา ยังชี้แจงว่า ที่ผ่านมาโอสถสภามักถูกมองว่าเป็นองค์กรที่ค่อนข้างเงียบไม่ออกสื่อ แต่ความจริงบริษัททำกิจกรรมการตลาดและประชาสัมพันธ์อย่างมากและต่อเนื่องเพียงแต่ไม่เป็นข่าว

“จริงๆแล้วที่นี่ทำงานแอคทีฟมาก โดยเชื่อว่าโอสถสภาทำกิจกรรมกับผู้บริโภคมากที่สุดแบรนด์หนึ่งของไทย และทุกวันนี้บริษัทมีจัดกิจกรรมบีโลว์ เดอะ ไลน์ มีมหกรรมคอนเสิร์ตจำนวนมาก และตลอดเวลา แต่อาจไม่ได้ให้ข่าว”

ส่วนแนวทางการทำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคยุคนี้ มือบริหารแบรนด์เช่นเธอ เล่าว่า สิ่งสำคัญคือ

1.การกำหนดตลาดเป้าหมาย (Targeting Marketing) ต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายคือใครอย่างแม่นยำ เพื่อให้แบรนด์สามารถใช้สื่อและวิธีการเข้าถึงได้ เนื่องจากยุคนี้การตลาดแบบทั่วไป (แมส) เหมือนในอดีตไม่จำเป็นอีกต่อไป และ 2.การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตรงจุด

“ต้องยิงตรงถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ไม่หว่าน หากสินค้าสร้างความแตกต่าง จะช่วยเพิ่มโอกาสให้แบรนด์ ส่วนการทำตลาดแบบแมสจะยากขึ้นเรื่อยๆ และไม่จำเป็น เวลานี้โลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล ส่งผลให้แบรนด์สินค้าและบริการสามารถจับกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น”

เธอยังบอกว่า แม้จะเข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจได้เพียง 3 เดือน แต่เป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ ต้องการนำพาโอสถสภาก้าวขึ้นเป็นบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์องค์กรในปี 2559 ซึ่งครบรอบ 125 ปีที่ระบุว่า “จะเป็นบริษัทอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในภูมิภาคอาเซียน”

โดยโอสถสภา เป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำในไทย มีสินค้าแบรนด์ดังและเป็นผู้นำตลาดมากมาย อาทิ กลุ่มสินค้าเครื่องดื่มและลูกอม เช่น เครื่องดื่มชูกำลังเอ็ม-150, คาพิสแลคโตะ, ซี-วิต, ลูกอมโอเล่

สินค้าส่วนบุคคล เช่น ทเวลฟ์พลัส, เอ็กซิท สินค้าเพื่อสุขภาพแบนเนอร์, ยาทัมใจ, ลูกอมโบตัน  เป็นต้น ขณะเดียวกันยังมีธุรกิจบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว ในชื่อบริษัทสยามกลาส อินดัสทรี จำกัด และมีบริษัทจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าเป็นของตัวเอง โดยรวมถือว่าธุรกิจครบวงจรแล้ว

โดยผลประกอบการในปี 2558 มีรายได้รวมกว่า 32,000 ล้านบาท มีกำไร 2,336 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคปีนี้ มองว่าจะเติบโตสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ

---------------------------------

จัดพอร์ตสินค้า-ชูจุดแข็งโอสถสภา

“กรรณิกา ชลิตอาภรณ์” อดีตลูกหม้อยูนิลีเวอร์ และอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นหญิงเก่งอีกรายที่เข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารในโอสถสภา 

ในตำหน่งรองประธานกรรมการและประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการ ก่อนที่จะดึง “วรรณิภา ภักดีบุตร” เข้ามานั่งเก้าอีกรรมการผู้จัดการใหญ่

 กรรณิกา ระบุว่า ในฐานะที่คร่ำหวอดในแวดวงสินค้าอุปโภคบริโภคมานานถึง 32 ปี จะนำประสบการณ์และความรู้ที่มีไปช่วยถ่ายทอดให้กับองค์กรเช่นโอสถสภา 

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างทำความเข้าใจและพิจารณาว่าองค์กรจะปรับเปลี่ยนอย่างไรบ้าง จัดพอร์ตโฟลิโอสินค้าว่าจะนำสินค้าตัวใดจะนำมาลงทุนสร้างแบรนด์และทำตลาดให้ดีที่สุดผลักดันให้เกิดความโดดเด่นยิ่งขึ้น เพื่อให้องค์กรเกิดการเติบโตและก้าวหน้าไปได้ไกล

ทั้งนี้ โอสถสภามีจุดแข็งมากมาย แต่ยังไม่ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ ขณะที่บรรดาทายาทซึ่งเป็นผู้บริหาร ก็เป็นคนเก่ง ที่มีความรู้ความสามารถ คนในตระกูลเปิดโอกาสให้คนนอกเข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจ

“การทำอะไรพร้อมๆกันมากๆ ไม่เชื่อว่าจะทำให้ประสบความสำเร็จ แต่การทำสินค้าก็ต้องดูทีละอย่างสองอย่างให้สำเร็จมากๆดีกว่า”

ส่วนการตัดสินใจเข้าไปช่วยดูแลธุรกิจโอสถสภา เนื่องจากได้รับคำเชิญจาก สุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ประธานมูลนิธิโอสถานุเคราะห์ เมื่อเข้ามาทำงาน พบว่าเป็นตระกูลที่น่ารัก ยิ่งเข้าไปทำงานยิ่งชอบ

อย่างไรก็ตาม การฟอร์มทัพองค์กรและสินค้าครั้งนี้ เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ที่ในเร็วๆนี้หรือไม่ กรรณิกา กล่าวว่า การเข้าตลาดฯเป็นสิ่งที่โอสถสภา คิดและแต่งตัวมานานแล้ว ดำเนินการไปเรื่อยๆ ซึ่งการเข้าตลาดฯจะช่วยยกระดับองค์กร และเชื่อว่าจะกลายเป็นองค์กรที่ถูกจับจ้องในตลาดและจากผู้บริโภคมากขึ้น ส่วนจะเข้าตลาดฯได้ จะต้องรอให้ตลาดปรับตัวดีขึ้นก่อน โดยปฏิเสธที่จะกล่าวถึงช่วงเวลาการเข้าตลาดฯที่เหมาะสม