‘FABBRIGADE’ ความสวยส่งถึงบ้าน

เพราะความสวยความงามกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน จะไปไหนแต่ละทีไม่ว่าหน้า ผม ทุกส่วนของร่างกายจะต้องสวย ต้องเป๊ะเวอร์
หากแต่ ความสวยตั้งแต่หัวจรดเท้า คงไม่ใครสามารถเนรมิตเองได้ อยากแต่งหน้าทีต้องไปร้านนี้ อยากทำผมทีต้องไปร้านนั้น แถมรถราบนถนนก็ยังติดหนึบ ซึ่งไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ชอบความรวดเร็ว
“ดาลัด ตันติประสงค์ชัย” (ลัด) กับ “สุพัตรา โบรมิโลว์” (ซุป) เพื่อนสนิทซี้ปึ้กมาตั้งแต่อายุแค่ 9-10 ปี บอกว่าชีวิตพวกเธอเองก็พบกับความยุ่งยากในเรื่องนี้ และมองว่าในเมื่อมีแอพสั่งอาหาร เรียกแท็กซี่มาถึงบ้านได้ ทำไมจะมีแอพสั่งความสวยความงามส่งมาถึงที่บ้านไม่ได้ เลยเป็นที่มาของแอพพลิเคชั่น “FABBRIGADE”(แฟบบริเกด)
"บิสิเนสโมเดลของเราจะเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมผู้ให้บริการด้านความสวยความงามส่งตรงถึงผู้ใช้บริการ เป็นบริการที่จะตอบสนองลูกค้าที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมอาชีพของผู้ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นช่างแต่งหน้า ทำผม รวมทั้งครูสอนโยคะ สปา และซาลอนต่างๆ "
ดาลัด เล่าต่อว่า ในช่วงเริ่มต้นต้องเริ่มที่ซัพพลายหรือผู้ให้บริการความสวยความงาม คือต้องสร้างความพร้อมทั้งในเรื่องของคุณภาพและจำนวน ซึ่งเท่าที่พวกเธอได้ไปคุยกับช่างแต่งหน้าทำผมในเมืองไทยหลายๆคน ก็ได้ความว่ามีการแข่งขันสูงในการหาลูกค้า แถมยังถูกกดราคาค่าบริการ แต่เมื่อได้ลองไปคุยกับฝั่งลูกค้าก็ได้ความว่าทุกวันนี้ช่างเสริมสวยนับวันก็ยิ่งหายาก
"เรามองว่ามันมีอะไรบางอย่างที่มันไม่ถูกต้อง แฟบบริเกดจึงอยากช่วยเชื่อมทั้งสองฝ่ายนี้เข้าหากันได้ง่ายขึ้น เราจะช่วยบริหารจัดการในเรื่องของราคาค่าบริการให้มันแฟร์สำหรับทั้งสองฝ่ายมากขึ้น และช่วยผู้ให้บริการได้เจอกับลูกค้ารายใหม่ๆ สรุปก็คือเราต้องการทำให้ทุกฝ่ายวิน"
ซึ่งช่างของแฟบบริเกดจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ หนึ่ง เป็นช่างแต่งหน้าทำผมที่เพิ่งเรียนจบใหม่หมาด สอง เป็นช่างระดับโปร ที่มีประสบการณ์ทำงาน 6-8 ปี และสาม เป็นช่างระดับกูรู เรียกว่าเป็นรุ่นท็อบของตลาดเลยก็ว่าได้ ซุปบอกว่า เกณฑ์ในการคัดเลือกนอกจากเรื่องโปรไฟล์ผลงานต่างๆ แล้วจะมีการเช็คกระเป๋าอุปกรณ์เมคอัพด้วยว่ามีอุปกรณ์ครบหรือไม่ ยี่ห้อเครื่องสำอางที่ใช้เป็นแบรนด์ชั้นนำในตลาดหรือไม่อีกด้วย
"ช่างของเราจะเป็นฟรีแลนซ์เสียส่วนใหญ่ ซึ่งพวกเขาต้องการอิสระในการรับงาน ในการบริหารเวลาของตัวเอง แต่เขาก็จะสูญเสียอะไรบางอย่างจากการที่ไม่ได้อยู่ในบริษัท เช่น สวัสดิการสังคม ประกันสุขภาพประกันต่างๆ เลยมองว่าเราจะทำหน้าที่เป็นเอเย่นต์ให้เขา ในการรับงาน ในการกรองงาน ในการแนะนำเขากับลูกค้าใหม่ๆ"
ขณะเดียวกัน แฟบบริเกดจะเข้าไปจับมือเป็นพันธมิตรกับธุรกิจทำเล็บ สปาและซาลอนต่างๆ ที่โดยปกติแล้วอัตราการเข้าใช้บริการของลูกค้าของธุรกิจเหล่านี้จริงๆ โดยเฉลี่ยแล้วจะไม่เกิน 50% เยอะที่สุดก็คือ 60% เพื่อช่วยเพิ่มรายได้และบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ส่วนลูกค้าเป้าหมายซึ่งเป็นฝั่งของดีมานด์ ซุปบอกว่า จะเป็นกลุ่มผู้หญิงอายุระหว่าง 20-50 ปี ตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงานไปจนถึงรุ่นใหญ่ ทั้งลูกค้าคนไทยและคนต่างชาติ และเป็นลูกค้าระดับบี
ก่อนเข้าร่วมโครงการ “ดีแทค แอคเซอเลอเรท” ต้องบอกว่าแฟบบริเกด ตั้งเป็นบริษัทแล้วเมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมาและเปิดตัวเป็นครั้งแรกภายในงาน “วันเดอร์ฟรุ๊ต”
"ตอนนั้นแอพของเรายังไม่สมบูรณ์ ในงานนี้เราทำเป็นเมคอัพสเตชั่น บริการแต่งหน้า สระผม เพื่อเก็บฐานลูกค้า เก็บเอาฟีดแบ็คข้อมูลต่างๆ มาพัฒนาแอพต่อและก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อประมาณเดือนเมษายนที่ผ่านมา"
ซึ่งช่วงเวลานั้นแฟบบริเกดก็ได้รับคัดเลือกเข้าโครงการของดีแทคฯพอดี ถามถึงเหตุผลว่าทำไมจึงคิดเข้าโครงการบ่มเพาะ ดาลัดบอกว่าเป็นเพราะเธอรู้จักคนในดีแทคและถูกชักชวนให้เข้ามา
"คือทีมเราเป็นทีมค่อนข้างแปลกมีฟาวเดอร์เป็นผู้หญิงถึงสองคน และออกจะฝรั่งๆ และเราก็ได้พี่ทิวา ยอร์คเป็นเมนเทอร์ พี่เขาบอกเลยว่ารู้เลยว่าเราสองคนต้องอยู่ทีมของเขา คุยกันรู้เรื่อง เข้าใจกัน พวกเราเองจะมีปัญหาคัลเจอร์ช็อค พี่ทิวาเองผ่านตรงนั้นมาแล้วรู้ว่าต้องปรับอย่างไร"
ซุป บอกว่า เมนเทอร์คนนี้กระตุ้นจนเธอไม่อาจนั่งนิ่งเฉยได้แม้แต่วินาทีเดียว ด้วยการให้ “โฟกัส” สั้นๆแค่วัน “พรุ่งนี้” ให้รีบลงมือทำแล้วเช็คดูผลลัพธ์ว่าเป็นอย่างไรแล้วนำไปพัฒนาต่อ
"ลัดเคยคุยกับซุปว่า การทำธุรกิจเองบางทีก็คิดถึงการมีบอส แม้ว่าเราสองคนต่างวางตัวเป็นบอสของตัวเองและของกันและกัน เพื่อให้มีกรอบมีเกณฑ์ แต่ก็ไม่เหมือนการที่เราซึ่งเคยทำงานและเติบโตอยู่ในองค์กรใหญ่ ซึ่งมันมีระบบ มีคนที่เป็นนาย การที่ได้พี่ทิวามากระตุ้นคอยถามความคืบหน้า ก็ทำให้เมคชัวร์ว่าทุกอาทิตย์เราจะต้องมีผลงานเพื่อไปรีพอร์ตให้ใครสักคน"
ถามถึงความจำเป็นในการระดมทุน สองสาวบอกว่า โชคดีที่ด้วยประสบการณ์การทำงาน ด้วยคอนเน็คชั่น และเน็ตเวิร์คของพวกเธอ ทำให้แฟบบริเกดได้เงินลงทุนมาตั้งแต่ยังเป็นแค่แนวคิด เป็นแค่คอนเซ็ปต์การทำธุรกิจเท่านั้น
"ก่อนตกลงจะมาทำตรงนี้ ต้องบอกว่าพวกเราพิจารณาถึงหลายปัจจัยมาก ซึ่งคนที่เรารู้จักพอรู้ว่าเราสองคนจะทำก็ติดต่อมาว่าอยากให้มาลงทุนไหม อยากให้มาเป็นหุ้นไหม ตอนแรกเราไม่ได้คิดจะระดมทุนคิดว่าจะโกทูมาร์เก็ตก่อน แต่เราโชคดีมีแองเจิ้ล อินเวสเตอร์ สองท่าน คนหนึ่งเขาทำสตาร์ทอัพและเอ็กซิทแล้วที่ประเทศจีน ตอนนี้เขาอยู่ซิลิคอนวัลเล่ย์ อีกคนทำแฟมิลี่บิสิเนส พวกเขาสนใจและถามว่าขอลงด้วยได้ไหม เราก็เลยคิดว่า วายน็อต และถือว่าเขาแอดแวลลูให้เรามากๆ" ดาลัดกล่าว
มาถึงวันนี้ เมื่อโครงการดีแทคฯ ชักนำให้ได้พบกับนักลงทุนอื่นๆ ที่ไม่เคยรู้จัก และมันก็นำไปสู่คำว่าวายน็อต อีกครั้ง
"ถ้าถามว่าอะไรคีย์ซัคเซสแฟคเตอร์ของสตาร์ทอัพ หลักๆ มันคือทีม โปรดักส์มาร์เก็ตติ้งฟิต และไทม์มิ่ง แต่แม้ว่าสตาร์ทอัพจะมีสามอย่างนี้ครบแล้ว แต่ถ้าไม่มีเงินทำให้ธุรกิจเติบโต มันก็ไปต่อไม่ได้ ลัดเองเคยเป็นนักลงทุนมาก่อน เคยเห็นบริษัทในพอร์ตที่พอถึงจุดหนึ่งเงินหมดแล้วสะดุด เราไม่ควรจะระดมทุนเวลาที่เงินใกล้หมดแล้ว ควรต้องคิดล่วงหน้า และถ้ามีโอกาสก็ต้องรีบคว้ามันไว้"
ซึ่งการระดมทุนครั้งนี้ดาลัดบอกว่าขออุบในเรื่องของจำนวนเงินแต่ในเรื่องของเป้าหมายนั้น เธอบอกว่าจะนำเอามาสร้างความเติบโตใน 3 เรื่อง คือ หนึ่ง ทีมงาน ซึ่งการจะได้คนเก่งและดีมาร่วมงานแน่นอนว่าจำเป็นก็ต้องใช้เงิน สอง เพื่อนำเงินทำการตลาดให้มากยิ่งขึ้น และ สาม เพื่อขยายตลาดไปยังต่างประเทศ
"ตอนนี้ที่เราไปคุยแล้วมีอยู่สองประเทศ คือที่ดูไบ และฮ่องกง เพราะเรามีพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพและมีความเชี่ยวชาญด้านบริการความสวยงามที่นั่นแล้ว เรามองว่าแฟบบริเกดเป็นบิสิเนสโมเดลที่จะไม่หยุดที่เมืองไทยอย่างเดียว"
ดาลัดบอกว่า แฟบบริเกดเป็นธุรกิจที่เธอและซุปค้นเจอว่าเป็นอะไรที่มีโอกาสมหาศาล ประการสำคัญเป็นธุรกิจที่พวกเธอเข้าใจดีว่าต้องมีหน้าตาเป็นอย่างไร และจะเติบโตไปได้แค่ไหน
ต้องบอกว่าประสบการณ์ทำงานของทั้งสองสาวไม่ธรรมดา ดาลัด สามารถขึ้นสู่ระดับผู้จัดการบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจ “ Bain & Company” ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบ และก็ออกมาเปิดบริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน เป็นไพรเวท อิควิตี้ ส่วนซุปก็เคยผ่านงานกับเอเยนซี่โฆษณา และออกมาทำงานเป็นเบื้องหลังกองถ่ายภาพยนตร์ และหนังโฆษณาของต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย
และเธอมองถึงการเอ็กซิทของแฟบบริเกดไว้ว่ามีอยู่ 2 ทาง ทางแรกจะสร้างตัวเองเป็นช่องทางขายให้กับแบรนด์สินค้าความงามต่างๆ ส่วนอีกทางหนึ่งก็คือการเติบโตไปตามขั้นตอนของสตาร์ทอัพ กระทั่งเข้าตลาดหลักทรัพย์หรือขายให้กับนักลงทุนที่สนใจ