‘ดิแอทติจูด’แตกไลน์รับบริหารโรงแรมไซส์เล็ก

‘ดิแอทติจูด’แตกไลน์รับบริหารโรงแรมไซส์เล็ก

ดิ แอทติจูด คลับ พลิกกลยุทธ์รับบริหารโรงแรม ชูแบรนด์ "บลู มังกี้" เจาะกลุ่มต่ำกว่า 80 ห้อง ชี้ยังมีช่องว่างเติบโตมั่นใจจุดแข็งจับตลาดคนรุ่นใหม่

นายวีระชัย ปรานวีระไพบูลย์ ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ แอทติจูด คลับ จำกัด กล่าวว่าหลังจากรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ได้เริ่มลงทุนและรับบริหารโรงแรมด้วยตัวเอง 3 แห่งในภูเก็ต ประกอบด้วยแบรนด์บลู มังกี้ เจาะตลาดระดับกลาง 2 แห่ง จำนวน 50 และ 60 ห้อง และโฟโต้ โฮเทล 1 แห่ง จำนวน 78 ห้อง มีรายได้เติบโตต่อเนื่องจากการวางกลยุทธ์ต่างจากคู่แข่งใน จ.ภูเก็ต ด้วยการเจาะตลาดคนไทยเป็นหลัก จนมีสัดส่วนสูงราว 50-60%

ขณะที่โรงแรมส่วนใหญ่จะมีสัดส่วนคนไทยเพียง 5-10% เท่านั้น ทำให้ปัจจุบันเริ่มนำโมเดลดังกล่าวขยายธุรกิจในรูปแบบการรับบริหารโรงแรมอื่นๆ ที่เจ้าของกิจการมีความสนใจในการทำตลาดแบบเดียวกัน ซึ่งในเบื้องต้นจะใช้แบรนด์บลู มังกี้ เป็นเรือธงในการรับบริหาร

นอกจากนั้นในธุรกิจรับบริหารที่มีเชนไทยและต่างชาติรายใหญ่เข้ามาทำตลาดอยู่นี้ ยังเห็นช่องว่างของกลุ่มโรงแรมเล็กขนาด 80 ห้องลงมา ไม่มีแบรนด์ที่โดดเด่นชัดเจน และสร้างเอกลักษณ์ในการบริการเจาะตลาดคนไทยอย่างเช่นที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ เพราะเชนใหญ่จะให้ความสำคัญเรื่องจำนวนห้องพัก และมักจะจับตลาดนักลงทุนที่พัฒนาโครงการตั้งแต่ 150 ห้องขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่

รูปแบบการบริการที่นำเสนอมี 3 แนวทาง ได้แก่ การให้แฟรนไชส์ภายใต้แแบรนด์บลู มังกี้, การรับบริหารจัดการโดยให้เจ้าของกิจการคงแบรนด์หลักของตัวเองไว้ และสุดท้าย คือ การให้บริการเฉพาะคำปรึกษาสำหรับการลงทุนและบริหารจัดการอย่างเดียว ทั้งนี้ จุดแข็งของแบรนด์ นอกจากการมีชื่อเสียงในตลาดคนไทยแล้ว ยังโดดเด่นในด้านการจับตลาดคนรุ่นใหม่ เนื่องจาก 2 โรงแรมแรกที่ลงทุนและบริหารเองนั้น มีกลุ่มคนอายุเฉลี่ย 25-45 ปีเท่านั้น ขณะนี้มีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการเตรียมขยาย 2-3 แห่งที่ เชียงใหม่, ระนอง และเกาะสอง ประเทศเมียนมา

“จากประสบการณ์ในการลงทุนที่ภูเก็ต และเข้าไปศึกษาวิจัยตลาดท่องเที่ยวทำให้เห็นความเข้าใจผิดต่อกำลังซื้อคนไทยอย่างมาก เพราะจากการสำรวจพบว่าคนไทยมาเที่ยวภูเก็ตมากกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับต่างชาติ ขณะที่การใช้จ่ายนั้น ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต่างชาติอีกด้วย เนื่องจาก 30% เป็นการจองตรงกับโรงแรมเอง ทำให้ได้ราคาห้องพักสูง ต่างจากระบบเอเยนต์ที่ช่วยส่งต่อลูกค้าต่างชาติเข้ามา ซึ่งทำให้มีรายได้ห้องพักต่ำกว่า”

ทั้งนี้ ราคาเฉลี่ยของห้องพักโรงแรมโฟโต้ โฮเทล แม้จะมีราคาเฉลี่ยสูงถึงราว 4,900 บาท/คืน ขณะที่บลู มังกี้ ที่เป็นโรงแรมในตัวเมือง ไม่มีจุดขายหาดทรายชายทะเล แต่สามารถทำราคาได้ราว 1,200 บาท และ 1,800 บาท ซึ่งที่ผ่านมาได้ตลาดคนไทยเข้าต่อเนื่องด้วย 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.การพัฒนาและวางรูปแบบการบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดคนไทยเป็นอันดับแรก เช่น ให้ความสำคัญกับป้ายสัญลักษณ์ต่างๆ เป็นภาษาไทย แทนที่จะใช้แต่ภาษาอังกฤษเหมือนโรงแรมอื่นๆ การจัดวางสิ่งอำนวยความสะดวกที่คนไทยชื่นชอบ ขณะเดียวกันเปิดช่องทางสังคมออนไลน์ (โซเชียล มีเดีย) สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายไทยโดยเฉพาะ และมีผู้ติดตามแล้วมากกว่า 1 แสนคน

2.ร่วมมือกับพันธมิตรในการกระตุ้นตลาด เช่น ร่วมมือกับบริษัทนำเที่ยวในพื้นที่ เช่น เลิฟอันดามัน ในการจัดแพ็คเกจห้องพักและโปรแกรมท่องเที่ยวเกาะต่างๆ ในทะเลอันดามัน เพื่อทำให้เกิดบริกาครบวงจร รวมถึงร่วมมือกับบริษัทบัตรเครดิตต่างๆ ที่มีโปรแกรมส่งเสริมการขายให้ลูกค้าผู้ถือบัตร เช่น เข้าร่วมประกวดโครงการไทยแลนด์ บูติค อวอร์ดส และได้รับรางวัล ทำให้สามารถเข้าร่วมกับกิจกรรมที่บัตรเครดิตจัดขึ้นเพื่อช่วยส่งเสริมการตลาดกับโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการได้ด้วย

“การประสบความสำเร็จในโมเดลเจาะตลาดคนไทย เกิดขึ้นด้วยพื้นฐานการวิจัยตลาดในพื้นที่ รวมถึงการลงลึกในเชิงพฤติกรรมว่าคนไทยชอบอะไร และต้องการบริการในที่พักโรงแรมแบบใด นำมาซึ่งการพัฒนาโครงสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกให้สอดคล้อง โดยสิ่งที่ค้นพบว่าทำให้ประสบความสำเร็จคือ ต้องการเน้นการสร้างประสบการณ์ในการเข้าพักให้ต่างจากโรงแรมอื่นๆ”

นอกจากนั้น มีแผนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบผสมผสาน (มิกซ์ยูส) ระหว่างคอนโดมิเนียมกับโรงแรมด้วย ซึ่งเป็นการต่อยอดจากความถนัดดั้งเดิมของบริษัทที่เป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยการนำแบรนด์โรงแรมเข้ามาผนวกในโครงการนั้น มองประโยชน์ในด้านการสร้างความเชื่อมั่นและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ซื้อคอนโดมิเนียมด้วย

สำหรับผลประกอบการในปีนี้ ตั้งเป้าเติบโตราว 10% หรือราว 250 ล้านบาท โดยหลังจากเปิดบริการมา 5 ปี เริ่มเข้าสู่ระยะการเติบโตที่มั่นคงแล้ว