SYNTEC - ถือ

กำไรปี 59 เติบโต 36% แต่คาดว่าจะอ่อนตัวลงในปี 60
ประเด็นสำคัญในการลงทุน :
- รายงานกำไร 4Q59 ที่ 168 ล้านบาท -15%YoY และ-39%QoQ : กำไรในไตรมาส 4/59 ลดลงจากไตรมาสก่อน แม้ว่ารายได้จากการก่อสร้างปรับตัวขึ้น 5%QoQ สู่ระดับ 2.2 พันล้านบาท แต่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลงจาก 21% เหลือเพียง 15% เพราะเริ่มก่อสร้างโครงการใหม่ 7 โครงการซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายคนงานและเครื่องจักรแต่ยังไม่สามารถรับรู้รายได้จากการก่อสร้างได้ นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการบริหารในไตรมาส 4 ปรับตัวขึ้นราว 34 ล้านบาทจากค่าใช้จ่ายพนักงานและโบนัสส่งผลให้ปี 59 มีกำไรสุทธิที่ 870 ล้านบาทเติบโต 36%YoY
- ปรับประมาณการกำไรปี 60 ลดลง 7% จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง : ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปี 60 ลงจาก 812 ล้านบาทเหลือ 751 ล้านบาทลดลง 7%จากประมาณการเดิมและหดตัว 14%YoY แม้ว่ารายได้จากการก่อสร้างมีแนวโน้มเติบโต 5%YoY สู่ระดับ 7.9 พันล้านบาทตามปริมาณงานในมือที่มีสูงถึง 1.4 หมื่นล้านบาทซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 60-62 แต่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวลงจากระดับ 21% สู่ระดับ 16% เพราะต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาเหล็กที่ปรับขึ้น 14%YTD (ปี 59 ราคาเหล็กปรับขึ้น 75%) และงานที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเริ่มทยอยรับรู้ไปเกือบหมดแล้ว อีกทั้งคาดว่าปี 60 จะไม่มีกลับรายการหนี้สงสัยจะสูญอีก 98 ล้านบาทเหมือนในปี 59 มาช่วยหนุนกำไรสุทธิ
- บริษัทเน้นขยายฐานรายได้การให้บริการเพิ่มเติมในอนาคต : ปี 59 บริษัทมีรายได้จากการให้บริการ 338 ล้านบาทเติบโต 143%YoY จากการเป็นเจ้าของเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ 3 แห่ง (Dutchessหลังสวน Citadines ศรีราชา และAkyraทองหล่อ) ซึ่งมีห้องพักรวม 434 ห้อง อีกทั้งรับรู้รายได้จากโครงการ The 8 Thonglor (SYNTEC เข้าลงทุน 60% ในช่วงเดือน พ.ค. 59) ซึ่งมีพื้นที่ค้าปลีก 6 พันตร.ม. และในปีนี้ผู้บริหารคาดว่าจะเข้าลงทุนในรีสอร์ท 1 แห่งมูลค่าราว 700-2,000 ล้านบาท (อยู่ระหว่างเจรจาอยู่ 2-3 แห่ง) เพื่อหนุนให้รายได้จากการให้บริการเติบโตอย่างต่อเนื่องและลดความผันผวนจากรายได้ก่อสร้าง
- ปรับคำแนะนำเหลือ "ถือ"ที่ราคาเหมาะสม 5.20 บาท : ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี PE ratio อิง Prospective PE ที่ 10 เท่าตามค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรม และคำนวณกำไรต่อหุ้นปี 60 ได้ 0.47 บาท ได้ราคาเหมาะสมเท่ากับ 4.7 บาทต่อหุ้นและเมื่อรวมมูลค่าสินทรัพย์แฝง(ที่ดินย่านรามอินทราและหุ้นBEM) อีก 0.5 บาทต่อหุ้นทำให้ได้ราคาเหมาะสมเพิ่มเป็น 5.20 บาทต่อหุ้นจากเดิม 5.10 บาทต่อหุ้น แม้ว่าราคาที่ประเมินได้จะสูงกว่าราคาปิดล่าสุดแต่กำไรปี 60 มีแนวโน้มอ่อนตัวจึงปรับคำแนะนำจาก “ซื้อ” เหลือ “ถือ”