กกพ.ยันปรับขึ้นค่าเอฟที 12.52 สต./หน่วยตามเดิม
"กกพ." แจงมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยืนยันปรับขึ้นค่าเอฟที 12.52 สตางค์/หน่วยตามเดิม ชี้ราคาก๊าซที่นำมาผลิตไฟฟ้ามีทิศทางขาขึ้น
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการ กกพ. กล่าวชี้แจงถึงมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเสนอแนะให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) งวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2560 เพียง 6 สตางค์ต่อหน่วย เพราะอ้างว่าราคาก๊าซธรรมชาติบริเวณปากหลุมผลิตมีแนวโน้มลดลงตลอด 18 เดือนที่ผ่านมา โดยยืนยันว่า กกพ. ปรับขึ้นค่าเอฟทีงวดนี้ 12.52 สตางค์ต่อหน่วยตามเดิม เพราะแม้ราคาก๊าซธรรมชาติขณะนี้จะมีแนวโน้มลดลง แต่ก๊าซที่นำมาผลิตไฟฟ้าจะอ้างอิงจากราคาน้ำมันเตาย้อนหลัง 8-12 เดือน ซึ่งขณะนั้นราคาเป็นทิศทางขาขึ้น อีกทั้งราคาก๊าซที่นำมาคำนวณค่าไฟฟ้ายังเป็นราคาก๊าซจากทุกแหล่งผลิต ซึ่งก็ล้วนแต่มีทิศทางขาขึ้น ไม่ใช่เพียงแหล่งผลิตเดียวอย่างที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเข้าใจ
ส่วนกรณีที่มองว่าการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุให้ค่าเอฟทีสูงขึ้นนั้น ขอชี้แจงว่างวดนี้มีจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่รับซื้อเพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบต่อหน่วย อัตรารับซื้อในงวดนี้จึงลดลงจากงวดที่แล้ว โดยหากไม่พิจารณาปรับขึ้นค่าเอฟทีงวดนี้ ก็จะส่งผลให้ค่าเอฟทีงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม ปรับตัวสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ และทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายถึง 7,786 ล้านบาท ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าก็ต้องจ่ายค่าไฟส่วนนี้คืน กฟผ. ในภายหลัง
ขณะที่การเยียวยาผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าเอฟทีงวดนี้ ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของ กกพ. แต่หากทุกคนช่วยกันใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ปรับขึ้นไม่มากนัก กฟผ. ก็ไม่จำเป็นต้องเดินเครื่องโรงไฟฟ้าซึ่งใช้น้ำมันเตาที่มีต้นทุนสูงกว่าเป็นเชื้อเพลิง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าภาพรวมต่ำลง ส่วนกรณีที่ กฟผ. เตรียมจ่ายไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเข้าระบบเพิ่มขึ้น ประเมินว่าจะมีผลกระทบให้ค่าเอฟทีเพิ่มขึ้นกว่า 21 สตางค์ต่อหน่วย หลังจากปี 2562 เป็นต้นไป