'บิ๊กตู่' งัด 'ม.44' ขับเคลื่อนอีอีซี
"คสช." งัด "ม. 44" เดินหน้าระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ทั้งอีไอเอ - ลดขั้นตอนพีพีฟาสแทร็ค พร้อมเปิดต่างชาติถือหุ้นอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอากาศยานได้ 50%
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ในวันนี้ว่า ในการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ร่วมกับ ครม. เรื่องมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ว่า โครงการ อีอีซี ถือเป็นโครงการเร่งด่วน และมีโครงการสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งไม่สามารถรอพ.ร.บ. ได้ เนื่องจากร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่ระหว่างฟังความเห็นของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ ก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาสภาพนิติบัญญัติแห่งชาติ ดังนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี จึงได้ใช้อำนาจ ตามมาตรา 44 รวมทั้งสิ้น 3 เรื่อง
สำหรับเรื่องแรก คือ ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ แต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ ของโครงการหรือกิจการสำคัญและเร่งด่วนของอีอีซีเป็นการเฉพาะ ขณะเดียวกัน ยังให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษเพิ่มเติม จากผู้ขออนุญาตได้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษแก่คณะกรรมการผู้ชำนาญการ โดยให้ใช้เวลาพิจารณาดำเนินการให้แล้วเสร็จในเวลาไม่เกิน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับรายงาน
ส่วนเรื่องที่สอง คือ กระบวนการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ซึ่งปัจจุบันจะใช้เวลาอย่างน้อย 8-9 เดือน ดังนั้นเพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการจึงให้นายกรัฐมนตรีสามารถพิจารณาอนุมัติโครงการตามมาตรฐานการร่วมทุนได้เป็นการพิเศษ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินการ
เรื่องสุดท้าย คือ ให้หน่วยซ่อมอากาศยานมีคุณสมบัติที่เหมาะสมตามลักษณะการลงทุน ซึ่งเดิมกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตซ่อมต้องมีสัญชาติไทย หรือมีคนไทยถือหุ้นเกินกว่า 50% แต่ตามกิจการ เช่น การซ่อมเครื่องบิน อะไหล่ และชิ้นส่วนอากาศยาน ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยีสูงและมีสิทธิบัตริสำหรับผลิตภัณฑ์นั้นๆ จึงจะไม่ยอมลงทุนโดยมีผู้ถือหุ้นอื่นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ดังนั้นจึงปรับปรุงลักษณะของผู้ได้รับใบรับรองในเขตอีอีซีเป็นพิเศษ โดยไม่ต้องดำเนินตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวมากขึ้น
ส่วนร่างอื่นๆ ตามพ.ร.บ.อีอีซีนั้น ยังให้ดำเนินการตามกระบวนการเดิม นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้กำชับทุกหน่วยงานให้เร่งรัด ติดตามและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งโครงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพื่อให้มีผลออกมาชัดเจน ซึ่งหากพบว่า เรื่องใดมีความจำเป็นต้องแก้ไขเร่งด่วนและต้องใช้อำนาจม.44 ให้เสนอมาได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ และเดินหน้าประเทศไทยสู่ 4.0