‘วิริยะ’ ชูโมเดลรั้งแชมป์เน้นเทคโนโลยี-มุ่งพัฒนาคน

‘วิริยะ’ ชูโมเดลรั้งแชมป์เน้นเทคโนโลยี-มุ่งพัฒนาคน

‘วิริยะ’ ชูโมเดลรั้งแชมป์เน้นเทคโนโลยี-มุ่งพัฒนาคน

ในช่วงรอยต่อธุรกิจประกันภัยก้าวไปสู่ยุคดิจิทัล ท่ามกลางสมรภูมิสงครามตัดเบี้ยยังคงคุกรุ่น แต่เมื่อบิ๊กวินาศภัยอันดับหนึ่ง อย่าง “วิริยะประกันภัย” ออกตัวขยับกางโมเดลใหม่ในธีม “เมื่อคนกับเทคโนโลยี รวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อการบริการที่เป็นเลิศ” จึงเป็นที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด

“สยม โรหิตเสถียร” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า “เมื่อประกันภัยก้าวสู่ยุคดิจิทัล การเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีคนจำนวนมากไม่สามารถเปลี่ยนก้าวกระโดดได้ในทันที ปัจจัยในการขับเคลื่อนองค์กร คือ คน และจะทำอย่างไรให้คนมีคุณภาพมากที่สุด นั่นคือ การให้โอกาสกับคน ด้วยการมุ่งพัฒนาคน เรามองว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด และนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับคน และระบบงานชัดเจนขึ้น ช่วยลดต้นทุน ลดการรั่วไหล บริการเร็ว สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เบี้ยก็เติบโต ไม่ต้องแข่งราคา”

สะท้อนจากผลการดำเนินงานของบริษัทช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ (เดือนม.ค.-พ.ค.2560) มีเบี้ยรับรวม 10,000 ล้านบาท เติบโต 6-7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และจนถึงครึ่งแรกปีนี้คาดว่ายังเติบโตระดับนี้ มีเบี้ยรับรวมประมาณ 15,000-16,000 ล้านบาท ถือว่าเติบโตได้ดีกว่าเป้าหมายทั้งปี และคาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 2-3% มีเบี้ยรับรวมประมาณ 35,000 ล้านบาท คิดเป็นเบี้ยเก่าต่ออายุ 30,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นเบี้ยใหม่

สยม บอกว่า ช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยเติบโตดีกว่าคาด เป็นผลจากยอดขายรถใหม่ป้ายแดงเริ่มกระเตื้อง เช่น มาสด้า และฟอร์ดเรนเจอร์ รวมถึงสถาบันการเงินและลีสซิ่งส่งงานให้มากขึ้น ที่สำคัญกลุ่มลูกค้าเดิมยังต่อประกันกับบริษัท ปัจจุบันมีอัตราเฉลี่ยการต่ออายุที่สูงถึง 70% และเปลี่ยนจากประกันชั้น 1 มาเป็น 2+ เพิ่มขึ้นมาก

อย่างไรก็ตามขณะนี้ บริษัทยังไม่ได้มีการปรับเป้าหมายเติบโตในปีนี้ ต้องรอประเมินสถานการณ์ตลาดประกันวินาศภัยช่วงครึ่งหลังปีนี้ก่อน ยอมรับว่า หลังจากนี้ประเมินตลาดค่อนข้างยาก ก็ยังเชื่อว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก แต่ไม่หวือหวา หากการส่งออกขยายตัวเป็นแรงส่งด้านโลจิสติกส์ตลาดอาเซียน แน่นอนว่าประกันภัยขนส่งและประกันภัยรถขนาดใหญ่ได้รับอานิสงส์ไปด้วย

ทางด้านสถานการณ์ภาพรวมแข่งขันตัดราคาเบี้ยหลังจากนี้ มองว่า ไม่น่ารุนแรงเท่าปีก่อนแล้ว เพราะถ้าใครลงไปแข่งขันส่วนใหญ่จะขาดทุน เจ็บตัวกันทั้งนั้น เนื่องจากตอนนี้กำไรจากการรับประกันภัยเฉลี่ยอยู่ที่ 5% อัตราค่าซ่อมค่าอะไหล่เพิ่มเฉลี่ย 5% ต่อปี ดังนั้นแน่นอนว่า บริษัทไม่ลงไปแข่งขันราคา แต่มุ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้ามั่นใจ ด้วยการปิดจุดอ่อนพัฒนาจุดแข็ง

ล่าสุด บริษัทตั้งสำนักดิจิทัล เป็นหน่วยงานตั้งใหม่ทำงานร่วมกับ The Boston Consulting Group (BCG) บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกที่ได้ว่าจ้างเข้ามาเป็นที่ปรึกษา และเป็นผู้ออกแบบแพลตฟอร์มให้มีระบบการทำงานที่คล่องตัวมากขึ้น ทั้งด้านการรับประกัน และสินไหมทดแทน ทำให้สามารถเชื่อมโยงการทำงานให้เป็นหนึ่งเดียว

ขณะเดียวกันปรับปรุงกระบวนการพัฒนาสินไหมประกันภัยทั้งระบบหน้าบ้านและหลังบ้านเพื่อให้บริการลูกค้าได้เร็วขึ้น ตรวจสอบงานชัดเจนแม่นยำลดต้นทุนและลดการรั่วไหล และเพิ่มประสิทธิภาพพนักงาน

สำหรับงานระบบหน้าบ้าน ขณะนี้กำลังปรับปรุงโมเดลส่วนงานศูนย์รับแจ้งและตรวจสอบอุบัติเหตุ โดยโมเดลในแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ที่เกิดเหตุบ่อยที่สุด อย่างในกรุงเทพฯ จะมีการกระจายศูนย์ย่อยตามรอยต่อระหว่างศูนย์หลัก ส่วนในต่างจังหวัด จะมีการรวมศูนย์และตั้งเป็นศูนย์เฉพาะกิจเพื่อการตรวจสอบอุบัติเหตุ

หลังจากเมื่อต้นปีมานี้ได้เริ่มแล้วในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยบริษัทได้เพิ่มศูนย์ฯย่อยหรือจุดรอตรวจสอบอุบัติเหตุเพิ่มอีก 20 แห่ง ในระยะทางระหว่างศูนย์ฯหลักที่มีอยู่แล้ว 20 แห่ง เพื่อกระจายพนักงานเคลมสินไหมออกไปให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ และยังคงทำงานด้วยนวัตกรรม “VIB Smart Claim (VSC)” ระบบงานสินไหมอัจฉริยะ มาช่วยบริหารพนักงานเคลมสินไหมเข้าถึงที่เกิดเหตุช่วยเหลือลูกค้าได้เร็วขึ้นอีกทั้งยังสร้างความเสมอภาคในการทำงานของพนักงานและพนักงานมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย ดังนั้น ขณะนี้กำลังเริ่มขยายผลในพื้นที่ภาคตะวันออก และต่อมาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้และภาคเหนือ

ส่วนระบบหลังบ้าน ส่วนงานตรวจสอบความเสียหาย มุ่งให้เกิดความสะดวกรวดเร็วขึ้น แล้วยังทำให้การเคลมโปร่งใสขึ้น โดยใช้ระบบ EMCS หรือ Electronic Motor Claim Solution (e-Claim) เพื่อจัดการสินไหมค่าซ่อมรถยนต์ ทำให้การส่งต่อข้อมูลระหว่างศูนย์ซ่อมกับบริษัท โดยเสนอเรื่องและการคุมราคาผ่านระบบโดยใช้ราคากลางอู่กลางกรมการประกันภัยเป็นมาตรฐาน

อีกทั้ง บริษัทกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาระบบ V-Auto เป็นระบบที่สามารถควบคุมราคาที่กำหนดระหว่างบริษัทกับศูนย์ซ่อมมาตรฐานของวิริยะกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ คาดว่าจะเริ่มนำร่องทดลองใช้ระบบนี้ในช่วงกลางปีนี้ไปแล้ว

นอกจากนี้บริษัทมุ่งพัฒนาพนักงานทั่วไป หากผ่านการอบรมหลักเกณฑ์ของบริษัท มีโอกาสไปเป็นเจ้าหน้าที่สรุปความเสียหาย และมีอำนาจในการอนุมัติจ่ายสินไหมเบา ความเสียหายไม่เกิน 30,000 บาทต่อเคลม ส่วนใหญ่จะเป็นเคสที่เหตุในกรุงเทพฯและเคลมคอสเมติกซ่อมเบา ปัจจุบันผู้หญิงมาเป็นพนักงานประเภทนี้มากขึ้น มีประมาณ 50 คน เพราะผู้หญิงจะมีความละเอียดรอบคอบและยังสร้างความเท่าเทียมในองค์กรด้วย