สคฝ.แจงกฎหมายใหม่ 'จ่ายคืนเร็ว'

"สถาบันคุ้มครองเงินฝาก" จ่ายคืนผู้งากเงินภายใน 30 วัน
ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ... ซึ่งเป็นการปรับแก้ไขพ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.2551 เพื่อลดกระบวนการจ่ายคืนเงินฝากแก่ผู้ฝากเงินให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้นหากสถาบันการเงินถูกปิด ได้ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทั้ง 3 วาระเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะประกาศบังคับใช้ในเร็วๆ นี้
สาทร โตโพธิ์ไทย ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สตฝ.) ให้สัมภาษณ์พิเศษ กรุงเทพธุรกิจ ถึงหลักการและประโยชน์ของกฎหมายสถาบันคุ้มครองเงินฝากฉบับใหม่ว่า หลักการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลเรื่องการจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ฝากเงิน จากเดิมที่การจ่ายเงินคืนผู้ฝากเงินจะต้องยื่นคำร้องก่อน มีกระบวนการหลายขั้นตอน และใช้เวลานาน ขณะที่ระบบการคุ้มครองเงินฝากของทั้งโลก ไม่ต้องยื่นคำร้อง และทำให้การจ่ายเงินเร็วที่สุด เพราะยิ่งคืนเงินให้ผู้ฝากเงินเร็วเท่าไหร่ วิกฤติก็เกิดน้อยเท่านั้น เพราะถ้าประชาชนได้เงินคืนเร็ว ก็ไม่ตื่นตระหนก ถ้าไม่ตื่นตระหนก ก็ไม่เกิดปัญหาแห่ถอนเงิน หรือ แบงก์รัน
ตามมาตรฐานสากล สามารถจ่ายเงินคืนให้กับผู้ฝากเงินได้ภายใน 7 วัน ขณะที่กระบวนการเดิมของเรา หากสถาบันการเงินปิด กว่าจะจ่ายเงินคืนได้ ใช้เวลากว่า 160 วัน เพราะมีหลายกระบวนการ ตั้งแต่กฎหมายกำหนดให้สคฝ.จะต้องไปออกหลักเกณฑ์การจ่ายเงินคืนภายใน 40 วัน เพื่อให้ประชาชนยื่นคำขอ ซึ่งประชาชนมีเวลายื่นคำขอ 90 วัน หลังจากยื่นคำขอแล้วสคฝ.จะต้องจ่ายเงินภายใน 30 วัน รวมเป็น 160 วัน
แต่กฎหมายใหม่ กำหนดให้จะต้องดำเนินการจ่ายเงินคืนให้ผู้ฝากเงินภายใน 30 วัน พร้อมกำหนดว่าหากผู้ฝากเงินมีหนี้อยู่กับสถาบันการเงินนั้น จะต้องหักหนี้ก่อน แต่ให้หักเฉพาะหนี้ที่ครบกำหนดชำระ ไม่ได้หักทั้งก้อน
“กฎหมายใหม่มีประโยชน์กับผู้ฝากเงินมาก และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฝากเงินขึ้นมาก เพราะการให้ผู้ฝากเงิน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมาก กว่า 1 ล้านรายต่อธนาคาร มายื่นคำขอไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะไม่จะไม่ให้ตื่นตระหนก ซึ่งแม้ว่ากฎหมายจะกำหนดให้จ่ายเงินคืนภายใน 30 วัน แต่เราตั้งเป้าภายในว่าสำหรับผู้ฝากเงินที่ไม่มีหนี้ จะต้องจ่ายเงินให้กับผู้ฝากเงินให้ได้ภายใน 7 วัน คิดว่าสคฝ.สามารถสร้างระบบที่จ่ายเงินภายใน 7 วันตามมาตรฐานสากลได้แน่นอน เมื่อจ่ายเงินได้เร็ว ก็สามารถลดความตื่นตระหนกได้ หากสถาบันการเงินมีปัญหา”
อีกจุดหนึ่งที่มีการแก้ไขในกฎหมาย คือ เรื่องการกู้ยืมเงิน กฎหมายเดิมให้สคฝ.ออกตราสารทางการเงินได้อยู่แล้ว โดยระบุเพียงว่าให้ออกตราสารตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด โดยความเห็นชอบรัฐมนตรี แต่ไม่ได้กำหนดว่าออกตราสารมาเพื่ออะไร จึงได้ส่งกฤษฎีกาตีความ ก็ตีความสามารถกู้เงินเพื่อมาจ่ายคืนให้ผู้ฝากเงินได้ แต่ในเมื่อแก้กฎหมายแล้ว ก็ทำให้ชัดว่ากู้มาเพื่อจ่ายเงินคืนผู้ฝากเงินและเพื่อการดำเนินงานของสคฝ.ได้ ไม่มีวงเงินกำหนด กระบวนการออกยังเหมือนเดิม
นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขเรื่องการรายงานรัฐมนตรี จากเดิมต้องรายงานทุกไตรมาส แก้เป็นรายงานทุก 6 เดือน เป็นไปตามมาตรฐานสากลที่มีการรายงานข้อมูลทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี อีกส่วนให้สถาบันการเงินต่างประเทศ เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย เพื่อเวลาเกิดปัญหาจะได้ดำเนินคดีได้ชัดเจน เป็นประเด็นปลีกย่อยที่เพิ่มเติมเข้ามา
“การให้ความรู้ประชาชนในช่วงนี้ดีที่สุด เพราะเป็นช่วงที่สถาบันการเงินเราเข้มแข็งมาก เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง 17-18% สูงกว่าที่กฎหมายกำหนดกว่าเท่าตัว ถ้าไปให้ความรู้ตอนเกิดวิกฤติ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมวิกฤติ”
ทั้งนี้ ยืนยันว่าสถาบันการเงินของไทยเข้มแข็งมาก การพิจารณาฐานะของธนาคาร มีทั้งการใช้ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)และข้อมูลของแต่ละธนาคารมาวิเคราะห์ประกอบกัน อย่างไรก็ตาม การทำงานของสคฝ. ก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมของระบบต่างๆ ไว้รองรับ ด้วยฐานะของสคฝ.ปัจจุบันเพียงพอสำหรับการดูแลผู้ฝากเงิน
ฐานะของสคฝ.ล่าสุด ปัจจุบันมีเงินอยู่ มี 1.2 แสนล้านบาท ส่วนตัวคิดว่าเพียงพอ หากไม่รวมแบงก์ใหญ่ สคฝ.รองรับได้เกือบทั้งหมด โดยไม่ต้องกู้ ปี 2563 ที่วงเงินการคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท คิดว่าสามารถรองรับได้ทั้งหมด โดยแต่ละปีมีเงินเข้ามาประมาณปีละ 1 พันล้านบาท บวกกับผลตอบแทนการลงทุนที่สคฝ.นำไปลงทุนได้ปีละประมาณ 3 พันล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในตราสารที่ไม่มีความเสี่ยง เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธปท. หากเป็นตราสารหนี้ ก็ต้องมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน บางส่วนก็ฝากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หรือ SFI อัตราผลตอบแทนค่อนข้างดีประมาณ 2% ปีนี้ ก็น่าจะได้ 3 พันล้านบาท เช่นเดียวกัน
“การรับรู้เรื่องระบบคุ้มครองเงินฝากของไทย ยังน้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่นในมาเลเซีย เมื่อปีก่อน ผลการรับรู้ประชาชนว่ามีระบบการคุ้มครองเงินฝากกว่า 40% ของประชาชนทั้งหมด แต่ของไทยสำรวจเมื่อปลายปี มีแค่ 20% เท่านั้น จึงตั้งเป้าหมายว่าต้องทำให้ประชาชนรับรู้มากขึ้น เรื่องระบบประกันเงินฝากให้ประชาชนเข้าใจว่า ถ้าแบงก์มีปัญหามีประกันเงินฝาก มีคนจ่ายให้ ไม่ต้องแตกตื่น โดยภายใน 4 ปี ต้องมีสัดส่วนประชาชนที่รับรู้ว่ามีระบบประกันเงินฝากเพิ่มเป็น 40%”