“ยักษ์ทุนไทย” ปิดดีลปี 60กว่า 3.8 แสนล้าน

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และกฎกติกาทางการค้าระหว่างประเทศที่เปิดเสรีมากขึ้น ส่งผลให้โลกการค้าแคบลง ไร้พรมแดน ผลักดันให้การแข่งขันสูงขึ้น ปรากฎการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ของไทยต้องปรับตัวกันขนานใหญ่
โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา สร้างนวัตกรรมสินค้าและบริการ ไปจนถึงการซื้อกิจการ และการผนึกกำลังกับพันธมิตรในและต่างประเทศ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจ
ในรอบปี 2560 กองบรรณาธิการ“กรุงเทพธุรกิจ” ประมวล 5 ดีลใหญ่แห่งปี ของบริษัทขนาดใหญ่ในไทย พบว่ายังคงมีมูลค่าดีลรวมกันสูงถึง 381,800 ล้านบาท โดย 4 ใน 5 เป็นการผนึกกำลังทางธุรกิจอีก 1 ดีลเป็นการซื้อกิจการ
“เอสซีจี-ทุนเวียดนาม"รุกปิโตรฯ“แสนล.”
เจรจากันมาราธอนเป็นเวลานานถึง 9 ปีนับจากปี 2551 ทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น สัดส่วนหุ้น ในที่สุดบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี ยักษ์ธุรกิจในไทย ก็บรรลุข้อตกลงในการร่วมทุนกับบริษัทVietnam Oil and Gas Group (PetroVietnam) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ของรัฐบาลเวียดนาม เมื่อกลางปี2560ผุดโครงการของ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP)ปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์แห่งแรกในเวียดนาม มูลค่าการลงทุนสูงถึง 5,400 ล้านดอลลาร์ หรือราว 172,800 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 32 บาทต่อดอลลาร์)
โดยดีลนี้เอสซีจีถือหุ้นทางอ้อม 71%ผ่านบริษัทวีนา เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด 53% และบริษัทไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) สัดส่วน 18% ขณะที่บริษัทVietnam Oil and Gas Group (PetroVietnam)ถือหุ้น 29%
โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ที่เกาะ Long Son ในจังหวัด Ba Ria - Vung Tau ทางตอนใต้ของเวียดนาม ห่างจากนครโฮจิมินห์ซึ่งเป็นตลาดหลักและเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามเพียง 100 กิโลเมตร
จุดเด่นของโครงการ เป็นโรงงานผลิตเอทิลีน ขนาดกำลังการผลิตสูงถึง 1 ล้านตันต่อปีและยังผลิตโพลิโอเลฟินส์ในขั้นปลายซึประกอบด้วยโรงงาน High Density Polyethylene (HDPE), Linear Low Density Polyethylene (LLDPE) และ Polypropylene (PP) โดยจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปีครึ่ง เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
ในปี 2558 ประเทศเวียดนามนำเข้าผลิตภัณฑ์โพลิโอเลฟินส์ประมาณ 2.3 ล้านตันและคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนตามวิสัยทัศน์ของเอสซีจีในการเป็นผู้นำธุรกิจอาเซียนอย่างยั่งยืน
เวียดนาม ยังถือเป็นฐานการลงทุนใหญ่ในอาเซียน ของเอสซีจี ใกล้เคียงกับฐานการผลิตในอินโดนีเซีย การบรรลุดีลการร่วมทุนใหญ่ครั้งนี้ทำให้เอสซีจีได้ลงทุนในเวียดนามครบทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง ธุรกิจซิเมนต์และวัสดุก่อสร้าง และปิโตรเคมี
“ธ.กรุงเทพ-เอไอเอ”ลุยแบงก์แอสชัวรันส์
อีกหนึ่ง“ดีลใหญ่”ที่สร้างปรากฎการณ์ให้คนในวงการแบงก์พาณิชย์และประกันชีวิตต้องหันมาจับตาดูเป็นพิเศษ คือ บิ๊กดีลที่เกิดขึ้นในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง“ธนาคารกรุงเทพ” แบงก์พาณิชย์ที่มีมาร์เก็ตแชร์กลุ่มลูกค้ารายย่อยอันดับหนึ่ง ประกาศความร่วมมือกับ“กลุ่มบริษัทเอไอเอ” เบอร์หนึ่งของค่ายประกันชีวิตร่วมมือกันทำธุรกิจ “แบงก์แอสชัวรันส์” หรือขายประกันผ่านสาขาธนาคารกรุงเทพ เป็นเวลา 15 ปี เริ่มในปี 2561 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในข้อตกลง ธนาคารกรุงเทพ จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของ เอไอเอ ประเทศไทย ทั้งผลิตภัณฑ์ความคุ้มครองระยะยาว (Long term protection) ผลิตภัณฑ์ประเภทการสะสมทรัพย์ระยะยาว (Long term saving) ให้กับลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจของธนาคาร กว่า 17 ล้านบัญชี
โดยเฉพาะฐานลูกค้ามั่งคั่ง ผ่านเครือข่ายสาขาประมาณ 1,200 สาขาทั่วประเทศและช่องทางบริการอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ นับเป็นจุดแข็งของธนาคารกรุงเทพ ที่เอไอเอต้องการเข้าถึงน้ำบ่อใหม่ มาช่วยเติมมาร์เก็ตแชร์แบงก์แอสชัวรันส์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ขณะที่แบรนด์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกัน รวมถึงความเชี่ยวชาญฝึกอบรมฝ่ายขายของเอไอเอ นับเป็นจุดแข็งแกร่งที่โดดเด่นไม่แพ้กัน ทำให้ธนาคารกรุงเทพยอมเปิดทางให้กับประกันนอกเครืออย่างเอไอเอ เข้ามาช่วยหนุนรายได้ค่าฟีให้กับธนาคารอีกแรงหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงต้องจับตา“ยุทธวิธีเดินเกมปล่อยหมัดเด็ด”ของทั้งคู่ คาดว่าน่าจะชัดเจนช่วงต้นปี 2561จากที่ผ่านมายังคงสุ่มเงียบไม่ยอมเผยกลยุทธ์ให้หลุดรอดถึงคู่แข่งเจ้าตลาดได้ไหวตัวทัน ซึ่งปัจจุบันตลาดแบงก์แอสชัวรันส์เบอร์หนึ่งและสองมีมาร์เก็ตแชร์ร่วมกันกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดเข้าไปแล้ว
เชื่อว่าในปี 2561 ธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ คงกลับมาคึกคักอีกรอบ ผู้เล่นในตลาดหลายราย อาจเตรียมปรับแผนรับมือกับการแข่งขันที่คาดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น ตลาดแบงก์แอสชัวรันส์ปี 2561 จึงไม่อาจละสายตา
“ดุสิตจับมือซีพีเอ็น”พลิกโฉมสีลม
ดีลใหญ่ของธุรกิจโรงแรมในปี 2560 ที่ต้องจับตาความเคลื่อนไหวต่อเนื่องถึงปี 2561 คือ การจับมือระหว่างบริษัท ดุสิตธานี จำกัด และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็นยึดทำเลเดิมบนหัวมุมถนนสีลมตัดพระราม 4 ที่ตั้งของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ อายุกว่า 48 ปี พลิกโฉมเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 3.67 หมื่นล้านบาทบนที่ดินเกือบ 24 ไร่ มีจุดมุ่่งหมายใหญ่เพื่อฟื้นความคึกคักให้ “สีลม” กลับมาเป็นศูนย์กลางทั้งด้านธุรกิจและการท่องเที่ยวของเมืองหลวงอีกครั้ง โดยพร้อมจะเชื่อมต่อโครงสร้างด้านการเดินทางทั้งทางรถไฟฟ้าบีทีเอส, รถไฟใต้ดินเอ็มอาร์ที และถนนรายรอบเข้าสู่โครงการอย่างสะดวกมากขึ้น
ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน 3 บริษัท และซีพีเอ็นจะจัดตั้งอีก 1. บริษัทย่อย ประกอบด้วย 1.บริษัท วิมานสุริยา เป็นบริษัทร่วมทุนโครงการโรงแรม เรสซิเดนซ์ และโครงสร้างอาคารศูนย์การค้า มีวัตถุประสงค์เพื่อเช่าช่วงที่ดินจากดุสิตธานีมาพัฒนาโรงแรมและเรสซิเดนซ์ รวมถึงก่อสร้างโครงสร้างอาคารของศูนย์การค้า โดยซีพีเอ็นและดุสิตธานี ถือหุ้น 40:60
2.บริษัท สวนลุม พร็อพเพอร์ตี้ เป็นบริษัทร่วมทุนโครงการพัฒนาศูนย์การค้า โดยซีพีเอ็นและดุสิตธานี ถือหุ้นฝ่ายละ 85:15 เพื่อเช่าโครงสร้างอาคารศูนย์การค้าจาก บริษัท วิมานสุริยา และ3.บริษัท พระราม 4 เดเวลลอปเม้นท์ ซีพีเอ็นและดุสิตธานี ถือหุ้นฝั่งละ 90:10 เพื่อเช่าที่ดินตามสัญญาเช่าหลักกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการ
ขณะเดียวกัน ซีพีเอ็น ตั้ง 1 บริษัทย่อยได้แก่บริษัทบริษัทศาลาแดง พร็อพเพอร์ตี้ แมนเนจเม้นท์ จำกัดเพื่อเช่าช่วงที่ดินจาก บริษัท พระราม4 เดเวลลอปเม้นท์ เพื่อดำเนินการพัฒนาก่อสร้าง และประกอบธุรกิจสำนักงาน โดยซีพีเอ็นถือหุ้น 100%
“เจดี-เซ็นทรัล”เสริมแกร่งออนไลน์
กลุ่มเซ็นทรัล ประกาศการร่วมทุนครั้งใหญ่กับJD.comยักษ์ใหญ่ค้าปลีก-อีคอมเมิร์ซจากประเทศจีน และผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซอันดับ 3 ของโลกมูลค่ากว่า 1.75 หมื่นล้านบาทมุ่งสร้างประสบการณ์“ชอปปิงออนไลน์”ที่แตกต่างให้ลูกค้าชาวไทย ปลุกการแข่งขันตลาดอีคอมเมิร์ซ-ชอปปิงออนไลน์ ในไทยร้อนระอุข้นทันที
JD.com เป็นผู้นำเทคโนโลยี ด้านอีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ ฟินเทค รวมถึงการใช้บิ๊กดาต้าและ AI ในประเทศไทย จะสร้างอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มใหม่ในชื่อ JD.co.th ภายใต้เทรดมาร์ก เจดี เซ็นทรัล (JD Central) กำหนดเปิดให้บริการในปี 2561 มุ่งหวังให้เป็นดิจิทัล อีโคซิสเต็มครบวงจรครั้งแรก ควบคู่ไปกับการพัฒนาธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัลให้เป็นออมนิแชนแนล ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุค 4.0 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมทั้งส่งเสริมให้กลุ่ม เซ็นทรัลสามารถเติบโตก้าวกระโดด และมียอดขายในธุรกิจออนไลน์ของทั้งกลุ่มมากกว่า 15% ภายใน 5 ปี
การร่วมมือกันครั้งนี้ ไม่เพียงสร้างประสบการณ์ชอปปิงไร้รอยต่อให้กับลูกค้า แต่ยังสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0ของภาครัฐ ที่เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เท่าทันโลกดิจิทัล เพิ่มอัตราการจ้างงาน และส่งเสริมการส่งออกของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมไปถึงการมีส่วนช่วยพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยการจัดตั้งสำนักงานใหญ่เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ไทยเบฟ” ทุ่มแสนล.ฮุบ“ซาเบโก”
ดีลใหญ่อีกดีลคือบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)ผู้ผลิตเบียร์ช้างของไทย ชนะการประมูลหลังทุ่มเงิน 4.84 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 154,880 ล้านบาทซื้อหุ้น 54% ของเบียร์ซาเบโก
(Sabeco)บริษัทเบียร์เวียดนาม บริษัทไซ่ง่อน เบียร์ แอลกอฮอล์ เบฟเวอเรจ ของรัฐบาลเวียดนาม ถือเป็นการประมูลครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาตร์ธุรกิจเบียร์เวียดนาม
โดยไทยเบฟ เป็นผู้ซื้อรายเดียว ที่ชนะการประมูลซื้อกิจการเบียร์ซาเบโก ด้วยการประมูลซื้อผ่านทางบริษัทลูกที่อยู่ในเวียดนามคือบริษัทเวียดนาม เบฟเวอเรจ โค ลิมิตเท็ด
รัฐบาลโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเบียร์ซาเบโก กำหนดราคาขายขั้นต่ำไว้ที่ 320,000 ด่อง หรือประมาณหุ้นละ 14.1 ดอลลาร์ แต่พบว่าราคาหุ้นของบริษัทไซ่ง่อน เบียร์ แอลกอฮอล์ เบฟเวอเรจ เมื่อวันที่ 18ธ.ค.2560 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.8 เท่า เป็นอยู่ที่หุ้นละ 317,900 ด่อง
สำหรับในเวียดนามนั้น ก่อนหน้านี้ไทยเบฟ ถือหุ้นเกือบ 20 %ในบริษัท วีนามิลค์ หรือ เวียดนาม แดรี่ โปรดักส์ เจ.เอส.ซี ซึ่งเป็นผู้ผลิตนมรายใหญ่ที่สุดของเวียดนามการขายหุ้นในโรงเบียร์ของรัฐให้แก่เอกชนต่างประเทศครั้งนี้ ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลคอมมิวนิสต์เวียดนาม ที่เผชิญปัญหาหนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปอยู่ที่เกือบ 65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ และการซื้อเบียร์เวียดนามครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากเมื่อเดือนต.ค. นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของบริษัทไทยเบฟ ได้ลงทุนเกือบ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นส่วนใหญของกลุ่มบริษัทโรงกลั่นสุราเมียนมา ซึ่งเป็นผู้ผลิตสุรารายใหญ่ที่สุดของเมียนมา
อย่างไรก็ตามไทยเบฟ มีเป้าหมายยุทธศาสตร์ในการควบรวมซาเบโกมานานแล้ว เพื่อขยายฐานกิจการจากไทยไปยังต่างประเทศ และบริษัทตั้งเป้าเพิ่มรายได้ 50% จากธุรกิจนอกประเทศให้ได้ภายในสิ้นปี 2563