“พราวฯ” แบ็คดอร์ลิสติ้ง เร่งโต 5 ปี ดันยอดหมื่นล้าน
การแข่งขันรุนแรงในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ส่งผลให้บรรดาดีเวลลอปเปอร์ เร่งการเติบโต กลยุทธที่ใช้คือการเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยวิธี “แบ็คดอร์ลิสติ้ง” หรือ การเข้าซื้อบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว
เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดฯทางอ้อม หนึ่งในนั้นคือกลุ่ม “พราว เรียล เอสเตท” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล “ลิปตพัลลภ” ที่เข้าไป ‘แบ็คดอร์ลิสติ้ง’ บริษัทโฟกัส ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FOCUS เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ Mai เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
โดยภายหลังการขายหุ้นเพิ่มทุน ส่งผลให้สองผู้บริหาร และทายาท สุวัจน์ ลิปตพัลลภ “พสุ และ พราวพุธ” เข้าถือหุ้นใหญ่ใน FOCUS รวม 70.37% ล่าสุดวานนี้ (22พ.ค.) ได้จัดแถลงข่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจ โดยตั้งเป้ารายได้แตะ 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีจากนี้
พสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดฉากเล่าถึงที่มาของการระดมทุนด้วยวิธีดังกล่าวว่า เกิดจากทาง โฟกัสฯ ต้องการซื้อที่ดิน 2 แปลงในหัวหินกลุ่มพราวฯ มูลค่ารวม 1,325 ล้านบาท จึงมาลงตัวที่การแลกหุ้นกัน ส่งผลให้ตนและ พราวพุธ เข้าถือหุ้นใหญ่ใน FOCUS รวม 70.37% และได้เปลี่ยนชื่อหลักทรัพย์ เป็น บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ชื่อย่อหลักทรัพย์ PROUD
ซึ่งที่ผ่านมาโฟกัสฯ เหลือโปรเจค โฟกัส เพลินจิต ที่รอโอนจำนวน 35 ยูนิตมูลค่า 300 ล้านบาทพร้อมโอน ส่วนธุรกิจก่อสร้างหลังจากกลุ่มพราวฯเข้ามาก็เลิกทำธุรกิจนี้ เนื่องจากต้องการ ‘โฟกัส’ อสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก
โดยหลังซื้อที่ดิน 2 แปลง ได้นำมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โดยโครงการแรก เป็นคอนโด“ หัวหิน 71” ริมทะเลหัวหิน ขนาด7ไร่ มูลค่าโครงการ 3,000ล้านบาท เริ่มโครงการไตรมาสสี่ ปี 2562 และโครงการที่สอง เป็นคอนโดติดรีสอร์ท สวนน้ำ วานา นาวา ขนาด 5 ไร่ มูลค่า 2,500 ล้านบาท เริ่มโครงการต้นปี 2563 คาดว่า ยอดขายรวม2โครงการอยู่ที่ 5,500 ล้านบาท โดยตามผลวิจัยพบว่าความต้องการคอนโดพรีเมี่ยมในหัวหินยังมีอยู่ต่อเนื่อง
“ผลวิจัยพบว่าดีมานด์อสังหาฯเพื่ออยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยมและลักชัวรี่ที่มีราคา 10 ล้านบาทต่อยูนิต ขึ้นไป หรือ ราคากว่า 2.5แสนบาทต่อ ตรม. มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องเพราะซัพพลายน้อยและไม่เพียงพอกับความต้องการตลาด ผนวกกับมองเห็นโอกาสจากการเติบโตของตลาดท่องเที่ยว และกลุ่มเป้าหมายทั้งคนไทยและต่างชาติที่ต้องการบ้านพักตากอากาศ หรือบ้านหลังที่สอง”
โดยกำลังซื้อสูงมาจาก กลุ่มแรกนักท่องเที่ยวยุโรปที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และกลุ่มนักท่องเที่ยวเอเซีย โดยเฉพาะกลุ่มพรีเมียม มิลเลนเนียล โดย ที่ผ่านมา “ไม่มี” สินค้าที่ตอบโจทย์ของลูกค้าในกลุ่มนี้มากนัก บริษัทฯ จึงมีแนวคิดที่จะทำอสังหาฯแนวใหม่ ที่ผสมผสานประสบการณ์การพักผ่อน และการให้บริการระดับโรงแรม เข้ากับการดีไซน์ ของที่พักอาศัย ซึ่งยังคงต้องมีความคุ้มค่า ในแง่ของการลงทุน ออกมาในรูปแบบ ลิฟวิ่ง โซลูชั่น ภายใต้คอนเซปต์ “MORE THAN JUST LIVING” เริ่มจากทำเล - พื้นที่ส่วนกลาง และ การให้บริการระดับโรงแรม -การออกแบบเชิงรีสอร์ท- การทำการตลาดเพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง โดยนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกสบายมากขึ้น
“ในการบุกตลาดในครั้งนี้ จะเป็นการเน้นกลุ่มลูกค้าในระดับบน ทั้ง พรีเมียม และลักชัวรี ในตลาดท่องเที่ยวที่ราคาเริ่มตั้ง1-3แสนบาทต่อตรม. และถ้าเป็นตลาดในกรุงเทพฯเริ่มต้นที่ 1.5 -3.5 แสนบาทต่อตรม. ราคาต่อห้องเริ่มที่ 4 ล้านบาท ขนาดตั้งแต่ 47-100 ตรม.มีฟังก์ชั่นที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ทั้งนี้เพราะกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่มีกำลังการซื้อสูง ”
พราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร ระบุว่า แนวทางการเพิ่มยอดขาย 4,000-6,000 ล้านบาทในปัจจุบัน เพื่อให้ถึง 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี นั้น จะเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับกลุ่มเป้าหมาย หากเป็นโครงการในกรุงเทพฯ ที่มีขนาดใหญ่ในย่านธุรกิจ (CBD)แค่1 โครงการสามารถได้ยอดขายตามเป้าหมาย แต่ถ้าเป็นโครงการในหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น หัวหิน ภูเก็ตอาจใช้ 2 โครงการ โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2564
ศรัฐ ปวรเดชาพงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า จะเน้นที่กลุ่มนักท่องเที่ยว เนื่องจากจากสถิติปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวที่ไปพักผ่อนที่หัวหินมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปีที่ผ่านมาตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ไปหัวหินเพิ่มขึ้น เป็นนักท่องเที่ยวไทยจำนวน 6ล้านคน ชาวต่างชาติ 1ล้านคน ส่งผลให้อัตราเข้าพักในโรงแรมรีสอร์ทเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากทำเลที่ดินติดชายหาดในปัจจุบันมีจำนวนจำกัด สวนทางกับความต้องการซื้อ