ตลท. ขึ้นเครื่องหมาย H หุ้น PPPM หลังผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขึ้นเครื่องหมาย H หลักทรัพย์ บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) หรือ PPPM รอบเช้าวันนี้ ( 31 ก.ค. 2562) หลังบริษัทแจ้งการผิดนัดหุ้นกู้รวม 580 ล้านบาท
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขึ้นเครื่องหมาย H หลักทรัพย์ บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) หรือ PPPM รอบเช้าวันนี้ ( 31 ก.ค. 2562) หลังตามที่บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) (PPPM) แจ้งการผิดนัดหุ้นกู้รวม 580 ล้านบาท และเป็นเหตุให้อาจถูกเรียกให้ชำระหนี้กู้อีก 541.60 ล้านบาท รวมเป็นมูลหนี้หุ้นกู้ 1,121.60 ล้านบาท คิดเป็น 34.87% ของสินทรัพย์รวม ซึ่งขนาดรายการดังกล่าวมีนัยสำคัญแต่บริษัทยังไม่ได้ชี้แจงผลกระทบต่อฐานะการเงินและการดำเนินงานของบริษัท ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้บริษัทชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้
1.การผิดนัดชำระหนี้ข้างต้นมีผลกระทบต่อการผิดนัดชำระหนี้สินอื่นหรือไม่ อย่างไร เช่น เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เป็นต้น 2.การผิดนัดชำระหนี้ข้างต้นมีผลกระทบต่อฐานะการเงินและการดำเนินธุรกิจของบริษัทหรือไม่อย่างไร
3.ตามที่บริษัทชี้แจงสาเหตุการผิดนัดชำระหนี้ว่าเกิดจากการปรับโครงสร้างกิจการและโครงสร้างทางการเงินนั้นขอให้อธิบายถึงที่มาและสาเหตุให้ชัดเจน
พลเอกเชาวฤทธิ์ ประภาจิตร์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) หรือ PPPM เปิดเผยผ่านเอกสารเผยแพร่ว่าปัจจุบันบริษัทฯ มีหนี้หุ้นกู้อีก จำนวน 1,121 ล้านบาท ครบกำหนดชำระงวดแรกในวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 นี้ โดยบริษัทฯ แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินและที่ปรึกษาในการจัดทำแผน และจัดให้มีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ภายใน 30 วันนับจากวันครบกำหนดชำระ เพื่อนำเสนอแผนการยืดระยะเวลาชำระหนี้หุ้นกู้ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยบริษัทฯ สามารถไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดได้ (Callable bond) ทางบริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าผู้ถือหุ้นกู้จะมีมติรับหลักการตามที่บริษัทฯ เสนอ เนื่องจากในระหว่างนี้ ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ตามปกติ และผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Sweetener) อีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างธุรกิจ และโครงสร้างทางการเงิน เพื่อเสริมสร้างให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนในระยะยาว ในส่วนของการปรับโครงสร้างธุรกิจ บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการรุกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน เพราะมองว่าจะเป็นโอกาสในการขยายฐานรายได้ในรูปแบบ Recurring Income ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงถึงความสามารถในการสร้างรายได้ และผลประกอบการของบริษัทฯ ในระยะยาว
ขณะเดียวกันได้ปรับนโยบายการดำเนินธุรกิจในส่วนของการจำหน่ายอาหารสัตว์ มาใช้วิธีการจัดจ้างภายนอก (Supply Chain Outsourcing) ให้เป็นผู้ผลิต ทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลง เหลือเพียงค่าใช้จ่ายจากการขายและการตลาดเท่านั้น ขณะที่ฐานรายได้ยังคงเดิมโดยมีรายได้จากธุรกิจขายอาหารสัตว์ 2,000 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าจะส่งผลให้ผลประกอบการมีแนวโมที่ดีขึ้น
การดำเนินการตามแผนนี้ เป็นการเเก้ปัญหาที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เเละ บริษัทฯ จะมีผลประกอบการ อัตราส่วนการเงินดีขึ้นทันที โดยไม่ต้องพึ่งการระดมเงินกู้ระยะสั้น ดอกเบี้ยสูงอีกต่อไป และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนในระยะยาว