MTS รุกตลาดทองคำจีน หนุนยอดซื้อขายปีนี้พุ่ง30%

MTS รุกตลาดทองคำจีน หนุนยอดซื้อขายปีนี้พุ่ง30%

แม่ทองสุก รุกตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ เชื่อมตลาดไทยสู่เส้นทางสายไหมยุคใหม่คาดหนุนยอดซื้อขายทองคำปีนี้โต 30% แตะ 400,000ล้านบาท พร้อมคาดราคาทองสิ้นปีแตะ1,550-1,600 เหรียญ หากเฟดลดดบ.อีกรอบ-เทรดวอร์ไม่จบ ด้านทองไทยมองเป้า 23,000 บาท

นายณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประธานฝ่ายบริหารบริษัทMTS GOLD GROUP เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดค้าทองคำเซี่ยงไฮ้Shanghai Gold Exchange (SGE) โดยการได้รับสิทธิในการเข้าถึงและซื้อขายสินค้ากับตลาดSGE และมีใบอนุญาต(License) อย่างถูกต้องทั้งในสินค้าประเภทPhysical และTrading ร่วมกับสมาชิกกว่า110 ประเทศทั่วโลกโดยได้รับอนุญาตไลเซนต์ตั้งแต่ช่วงปลายปี2561

โดยคาดว่าการขยายธุรกิจในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีรายได้จากปริมาณการซื้อขายทองคำPhysical เพิ่มขึ้น30% หรือแตะดับ400,000ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ300,000 ล้านบาท

ด้านการซื้อขายสินค้าทองคำทุกประเภทในตลาดล่วงหน้า(TFEX) หรือการซื้อขายแบบTrading ในอุตสาหกรรมหากมีการซื้อขายจากSGE จะช่วยหนุนให้ภาพรวมการซื้อขายในตลาดเมื่อคิดตามมูลค่าจริงจะอยู่ที่ระดับ100 ตันต่อเดือนจากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่50-60 ตันต่อเดือน

ทั้งนี้การได้สิทธิการเป็นโบรกเกอร์ทองคำในการเข้าซื้อขายสินค้ากับตลาดSGE บริษัทสามารถนำเข้าและส่งออกทองคำ, การทำเครื่องประดับทอง(Jewelry) และมีบริการซื้อขายทองคำ (Trading) ได้อย่างครบวงจร

 โดยตลาดค้าทองคำเซี่ยงไฮ้หรือShanghai Gold Exchange (SGE) เป็นหนึ่งในตลาดศูนย์กลางการซื้อขายทองคำรายใหญ่ระดับโลกที่ได้รับการจัดตั้งโดยธนาคารกลางจีน(People’s Bank of China) เพื่อให้มีการซื้อขายทองคำและบริการอื่นๆตั้งแต่ปี2002 จนถึงปัจจุบันถือได้ว่าตลาดซื้อขายทองคำขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

นายณัฐพงศ์เปิดเผยว่าแนวโน้มราคาทองคำในปีนี้มองเป้าหมายแนวต้านที่ระดับ1,550-1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์และทองในประเทศ23,000 บาทภายใต้2 ปัจจัยสำคัญเฟดลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก0.25% และสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐยังไม่ยุติรวมถึงเงินบาทอยู่ที่ระดับ31.70 บาทต่อดอลลาร์

ด้านกรอบการเคลื่อนไหวทองคำระยะสั้นช่วงนี้มองกรอบ1,480-1,510 ดอลลาร์ต่อออนซ์และราคาทองในประเทศ21,300-22,000 บาท

อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องติดตามสถานการณ์ในตลาดเพราะอาจเป็นวิฤตเศรษฐกิจ(Financial Crsis) ในอนาคตคือจากฝั่งยุโรปทั้งเบร็คซิทและประเด็นปัญหาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางยุโรป(ECB) เริ่มอัดฉีดQE และลดอัตราดอกเบี้ยสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปเริ่มแย่ลงซึ่งอาจส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลกจะช่วยหนุนราคาทองคำมีโอกาสกลับไปจุดสูงสุดเดิมที่1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์เท่ากับช่วงเกิดวิกฤติซับไพร์มเมื่อ7ปีก่อน

พร้อมแนะว่าหลังจากนี้หากมองแนวโน้มราคาทองยังเป็นขาขึ้นดังนั้นในจังหวะที่ราคาทองปรับตัวลงมาที่21,000 บาทมองว่ายังเป็นโอกาสเข้าซื้อสะสมได้อยู่

และยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพราะหากเฟดไม่ลดดอกเบี้ยตามคาดและการเจรจาสงครามการค้าจีนกับสหรัฐยุติลงได้มองว่าราคาทองจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆหรือมีโอกาสปรับตัวลงหรือไซด์เวย์ดาวน์