“ฮิตาชิ” ระบุผลกระทบอสังหาฯชะลอตัว ส่งผลตลาดลิฟต์ไทยปีนี้ทรงตัว เบนเข็มบุกตลาดซีแอลเอ็มวี โดยเฉพาะกัมพูชา หลังกลุ่มทุนจีนลงทุนขยายอสังหาฯ ดันดีมานด์ลิฟท์โตพุ่ง
นายศักดิ์ชาย วรสง่าศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์ (กัมพูชา) จำกัด ผู้ผลิตและให้บริการลิฟต์และบันไดเลื่อนฮิตาชิ กล่าวว่า ปีนี้ตลาดลิฟต์ในประเทศไทยทรงตัว เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่ไม่ลงทุนโครงการตึกสูง ทำให้ภาพรวมตลาดลิฟท์ทุกยี่ห้อ มีความต้องการ (ดีมานด์) ลดลง จากปัจจุบันมีดีมานด์ปีละ7,000-8,000 ยูนิต โดยฮิตาชิ มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ3 ปีที่ผ่านมามียอดขาย 800 ยูนิต
ขณะที่ตลาดลิฟต์ในกลุ่มซีแอลเอ็มวี ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะช่วง 5ปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศกัมพูชาโต6-7% เนื่องจากนักลงทุนรายใหญ่จากจีนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม โครงการมิกซ์ยูส ธุรกิจคาสิโน ส่งผลให้ความต้องการใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนเติบโตต่อเนื่องปีละ 10% จากดีมานด์ที่มีอยู่ 1,500 ยูนิต
“ในกัมพูชา สังเกตได้จากปีแรก บริษัททำยอดขายได้ 50 ยูนิต และขยายตัวขึ้นในปี 2561 เป็น 100 ยูนิตและในปีนี้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 150 ยูนิตคาดว่า ภายในปี 2564 ฮิตาชิจะมีส่วนแบ่งการตลาดลิฟต์ในกัมพูชา 25% และจะขยายอย่างต่อเนื่องขึ้นมาเป็นเบอร์3 ตลาดชนะแบรนด์จีน”
นายศักดิ์ชาย กล่าวว่า กลยุทธ์การทำตลาดจะเน้นการหาลูกค้า ที่เป็นกลุ่มทุนรายใหญ่ของกัมพูชา อาทิ CHIP MONG ,ni group ,Holiday Palace ฯลฯ และจะใช้วิธีการมัดจำก่อนล่วงหน้า 60% ที่เหลือ 40% ลูกค้าต้องชำระหลังจากติดตั้งเสร็จเพื่อลดความเสี่ยง
สำหรับตลาดลิฟต์ในกัมพูชา แบ่งออก 2 ตลาด ตลาดอินเตอร์แบรนด์จาก ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น ถือว่าเป็นสินค้าคุณภาพ ราคาสูง ส่วนตลาดโลคัล(ท้องถิ่น) ส่วนใหญ่สินค้าผลิตมาจากจีน มีราคา ต่ำกว่า 20-50% เนื่องจากตลาดลิฟต์ในกัมพูชา เป็นตลาดเปิด ยังไม่มีกฏหมาย หรือข้อกำหนด มาตรฐาน ควบคุมการซื้อ ขายติดตั้ง ลิฟต์ และบันไดเลื่อน ดังนั้น การนำเข้า จากประเทศต่างๆ สามารถนำเข้ามาขายได้อย่างเสรี รวมถึงสามารถสั่งซื้อตรงได้จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีน และเวียดนาม ซึ่งมีราคาถูกมาก
นอกจากนี้ เนื่องจากอาคารในกัมพูชาเพิ่งติดตั้งลิฟต์ไม่เกิน 10 ปี การสร้างตึกสูง เพิ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วใน ระยะ 5 ปีที่ผ่านมาจึงอาจยังไม่มีประสบการณ์ในการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มากนัก ผู้บริโภคส่วนใหญ่ของตลาดจึงเน้นที่ราคาถูก คาดว่าในอนาคตเมื่อตลาดพัฒนาขึ้นลูกค้าให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยมากกว่าราคา