ทีโอเอฯอัด300ล้าน รุกฐานผลิตเมียนมา
ทีโอเอผนึกชูโกกุเพ้นท์ ลงทุน 300 ล้าน ผุดโรงงานผลิตสี เมียนมา นำร่องรุกตลาดอาเซียน ตั้งเป้า 5 ปีรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ระบุไม่หวั่นเศรษฐกิจไทยชะลอตัวจับเมกะโปรเจค ล่าสุดได้โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู สีเหลือง
โดยโครงการก่อสร้างเฟสแรกอยู่ใกล้กับย่างกุ้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษ คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย.ปี 2563 คาดว่าหลังจากเริ่มการผลิตและจำหน่ายในประเทศเมียนมาภายในช่วง 5 ปีแรก จะสามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
ทั้งนี้เนื่องจากเมียนมาเพิ่งเปิดประเทศจึงมีการลงทุนโครงการเมกะโปรเจคที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเหมือนกับประเทศไทยสมัยก่อน ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงเฉลี่ยปีละ 6-7% ประกอบธุรกิจประมงเป็นเศรษฐกิจหลักอันดับ 3 ของเมียนมาทำให้สีของทีโอเอ-ชูโกกุ เพ้นท์ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งโดยมีส่วนแบ่งตลาด 70%
นอกจากนี้สามารถใช้เป็นฐานการผลิตเพื่อป้อนให้กับกัมพูชา ลาวและบังคลาเทศได้ด้วย และหากว่าตลาดในประเทศไหนมีศักยภาพ ยอดขายมาก บริษัทพร้อมจะเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตเช่นเดียวกัน
นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับตลาดในประเทศไทยต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจเริ่มชะลอ ส่งผลให้ปรับเป้ารายได้ปลายปีนี้ลดลงเหลือ15% หรือมียอดขาย 2,300 ล้านบาท ทั้งที่ 6 เดือนก่อนหน้านี้บริษัทมีรายได้รวมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ คิดเป็นมูลค่า 1,300 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนของการจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์สีอุตสาหกรรมหนัก มูลค่า 910 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 70%และกลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาเรือ รวมทั้ง สีทาตู้คอนเทนเนอร์มูลค่า 390 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 30 % หรือเมื่อเทียบสัดส่วนรายได้ 6 เดือนจากปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทเติบโตขึ้น20% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวแต่ตลาดสีสำหรับอุตสาหกรรมหนัก ยังคงเติบโต เนื่องจากรัฐบาลมีโครงการเมกะโปรเจคออกมากระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนต่อเนื่อง อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ฯลฯ ล่าสุดบริษัทได้งานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู สีเหลือง รวมทั้งโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 ส่งผลให้ปีหน้ายอดขายบริษัทเติบโต 15% เท่า กับปีนี้ โดยปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดหนึ่งอันดับหนึ่งในตลาดสีกลุ่มสีอุตสาหกรรมหนักมูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่ง 50%
“ช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี คนอาจจะไม่ทาสีบ้าน แต่แง่โครงสร้างที่เป็นเหล็กเป็นสิ่งจำเป็นต้องทา มิเช่นนั้นจะเป็นสนิม ดังนั้นสินค้ากลุ่มนี้จึงไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะตัวมากนัก ประกอบกับบริษัทมีฐานลูกค้าหลักเป็นผู้ที่ได้รับงานโครงการเมกะโปรเจคเสียเป็นส่วนใหญ่ประมาณ80%” นายพิศิษฐ์ กล่าว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-TOA มอบเงิน 1 ล้าน ให้แก่ รพ.หัวเฉียว
-TOA ขอแรงต่อปี 61 เน้นเพิ่ม Ebitda 18.5%
-TOA พร้อมปรับขึ้นราคาสินค้า