‘6หุ้นโรงไฟฟ้า’กำไรโต 20% โบรกห่วงราคา‘เต็มมูลค่า’
หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) สูงสุด 6 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) บมจ.บี.กริม เพาเวอร์(BGRIM)
มีมาร์เก็ตแคปรวมกันกว่า 1.1 ล้านล้านบาท ต่างรายงานผลประกอบการรวมปี 2562 ออกมาครบถ้วนแล้ว
โดยรวมทั้ง 6 บริษัท มีกำไรจากการดำเนินงานในปี 2562 รวมกัน 3.32 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.4% จากปีก่อน และมีรายได้รวมในปี 2562 ที่ 2.53 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.2% จากปีก่อน
สำหรับบริษัทที่มีกำไรปกติเติบโตสูงสุดเมื่อปีก่อนคือ GPSC และ EA โดยเพิ่มขึ้น 54% และ 51% ทำได้ 5.17 พันล้านบาท และ 5.90 พันล้านบาท ตามลำดับ ส่วน RATCH เป็นเพียงบริษัทเดียวในหุ้นทั้ง 6 บริษัท ซึ่งมีกำไรปกติลดลง 5.5% อยู่ที่ 6.09 พันล้านบาท
ศรชัย พิทยาพฤกษ์ นักวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า แนวโน้มกำไรปกติของกลุ่มโรงไฟฟ้ายังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในช่วงปี 2562 – 2564 จากการมีโรงไฟฟ้าใหม่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ยังมีมุมมองเป็นบวกเล็กน้อยต่อความคืบหน้าการปรับปรุงแผน PDP2018 ที่มีแนวโน้มได้รับการอนุมัติในวันที่ 19 มี.ค. นี้ โดยคาดว่ากำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามแผนสิ้นสุดปี 2580 ไม่ได้มีการปรับลด โดยการปรับปรุงหลักเป็นการปรับในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีการปรับเลื่อนเวลาขึ้นมา และปรับสัดส่วนการสร้างโรงไฟฟ้า เช่น ปรับลดโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ภาคประชาชนลง โดยรวมกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ในช่วงปี 2561 – 2580 เท่ากับ 5.64 หมื่นเมกะวัตต์
ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีกำลังการผลิตตามแผน PDP2018 มากที่สุด 2.07 หมื่นเมกะวัตต์ รองลงมาคือ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 1.31 หมื่นเมกะวัตต์
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในปัจจุบันของกลุ่มโรงไฟฟ้าได้ปรับตัวขึ้นสะท้อนแนวโน้มและโอกาสของการเติบโตไปมากแล้ว โดยประเมินว่าหุ้น GULF มีดาวน์ไซด์มากสุดราว 36.5% รองลงมาคือ BGRIM 28.9% ขณะที่ RATCH และ EGCO ยังมีอัพไซด์ราว 15% และ 7% ตามลำดับ
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยปรับตัวลดลง 4.14% (ณ วันที่ 24 ก.พ.) โดย GPSC เป็นหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่ 16% รองลงมาคือ EGCO 13.1% ขณะที่ RATCH และ BGRIM ปรับตัวลง 7.2% และ 4.7% ตามลำดับ
ส่วน GULF และ EA เป็น 2 บริษัทที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 11.7% และ 4.5% ตามลำดับ สวนทางกับราคาหุ้นในช่วงปี 2562 ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 53% โดยหุ้นอย่าง GULF และ BGRIM เพิ่มขึ้นราว 100% ส่วน EA เป็นหุ้นที่เพิ่มขึ้นน้อยสุดปีก่อนที่ 2.9%
บล.บัวหลวง ระบุว่า ความกังวลของตลาดทั้งเรื่องขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ภัยแล้ง และผลกระทบของไวรัสเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในกลุ่มช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเปิดโอกาสของการปรับตัวขึ้นอีกครั้ง จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัจจัยกดดันเรื่องภัยแล้งและไวรัสสะท้อนไปในราคาหุ้นมากแล้ว และโดยปกติโรงไฟฟ้าจะมีการการันตีรายได้ขั้นต่ำ (minimum off-take agreement) ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบดังกล่าว
ถัดมาคือ หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกจะเป็นปัจจัยหนุนกำไรในระยะยาวของกลุ่ม และสุดท้ายคือ การเกิดปรากฎการณ์ Inverted yield curve อีกครั้ง ซึ่งในอดีตหุ้นกลุ่ม Defensive จะปรับตัวขึ้นได้แรง
ในเชิงกลยุทธ์ระยะสั้น 5-10 วันทำการ แนะนำซื้อ GULF นอกจากประเด็นบวกด้านปัจจัยพื้นฐานแล้ว มองว่าราคาหุ้นจะรีบาวน์ได้จากการประกาศแตกพาร์ ซึ่งหุ้นใหญ่ก่อนหน้าที่มีการแตกพาร์นั้น อย่าง บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) เพิ่มขึ้น 8% และบมจ.ปตท (PTT) เพิ่มขึ้น 20%
หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในเซกเตอร์ที่โดดเด่นที่สุดเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ด้วยราคาที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เริ่มเกิดคำถามขึ้นมาเหมือนกันว่า กำไรที่เพิ่มขึ้นนั้นจะเติบโตได้ทันกับราคาหุ้นที่ร้อนแรงหรือไม่