I-TRUST สู่ระดับอินเตอร์ วิถี ‘ซัมมิท แคปปิตอล’
“สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือ ได้รับความไว้วางใจอย่างสูงสุดจากลูกค้าและสังคมไทย” คือภารกิจของ “ฮิเดโตโมะ ฟูจิวาระ” ในฐานะประธานบริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด
"ซัมมิท แคปปิตอล ครบรอบ 25 ปีในปีนี้ เราเป็นบริษัทที่ดีและอยู่ในตลาดมานานแล้ว แต่ในแง่การบริหารจัดการของเรายังค่อนข้างเป็นโลคัล ผมจึงต้องการยกระดับให้มีความเป็นอินเตอร์ มีมาตรฐานระดับโกลบอล"
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวสิ่งที่เขามุ่งให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คือ “วัฒนธรรมองค์กร” ต้องเริ่มต้นจากมุมมอง ความคิด โดยมีการระดมความคิดร่วมกับผู้บริหารคนไทยและพนักงานในองค์กรที่มีกว่า1,600 คน กระทั่งออกมาเป็นคำว่า “I-TRUST”
ปัจจุบันค่านิยมหลักของ ซัมมิท แคปปิตอล ก็คือ I-TRUST ประกอบด้วยความซื่อสัตย์ (Integrity) ความโปร่งใส (Transparency) ความรับผิดชอบ (Responsibility) ความเป็นหนึ่งเดียวกัน (Unity) บริการที่ยอดเยี่ยม (Service Excellence) และเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology and Innovation)
"บริษัทของเราในแต่ละประเทศจะมีค่านิยมที่ไม่เหมือนกัน แต่มีความคล้ายกัน เช่นมีเรื่องความไว้วางใจ ความรับผิดชอบ เป็นต้น และเราจะไม่ได้เอาค่านิยมของบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นมาใช้ทั้งหมด ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ต้องบอกว่าตัวผมเองมีโอกาสก็ไปทำงานในต่างประเทศอย่างอินเดียและในหลาย ๆประเทศทั่วโลก ทำให้เห็นว่าญี่ปุ่นก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป ประเทศไทยก็มีจุดดี มีจุดแข็งในแบบของตัวเอง"
แต่ก็ยอมรับว่าภายหลังที่บริษัทกำหนดค่านิยมองค์กรใหม่ ก็มีพนักงานที่ปรับตัวไม่ได้และลาออกไปจากองค์กร (ถือเป็นส่วนน้อย) ฮิเดโตโมะ ฟูจิวาระ บอกว่าเป็นเรื่องปกติของการเปลี่ยนแปลงที่คงไม่ใช่ทุกคนจะสามารถปรับตัวได้ ซึ่งเขาก็เคารพการตัดสินใจของพนักงานทุกคน ขณะที่ตัวเขาก็ยังยืนยันจะเดินหน้าทำแนวทางนี้ต่อไป
อะไรคือเคล็ดลับในการปลูกฝังค่านิยม ประธานบริษัท ซัมมิท แคปปิตอล บอกว่า ต้องอาศัยการสื่อสารเพื่อเน้นย้ำเรื่องนี้กันบ่อยๆ กันอย่างสม่ำเสมอ เรียกว่าพนักงานของบริษัทจะได้เห็นค่านิยมอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโน๊ตบุุ๊ค หรือบนกำแพงห้องทำงาน แม้กระทั่งมีการสกรีนคำว่า I-TRUST ให้ตระหนักถึงบนแก้วกาแฟกันเลยทีเดียว
"ค่านิยมที่มีด้วยกัน 6 ข้อ ถ้าถามว่าข้อไหนที่ขับเคลื่อนได้ยากที่สุด ผมคิดว่าทุกข้อนะ ไม่สามารถเรียงอันดับความยากง่ายได้ แต่ถ้าให้ลำดับความสำคัญ ก็ตอบได้เลยว่าเราให้ความสำคัญกับ Integrity ก่อนซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าค่านิยมของเราก็คือ I-TRUST นั้นมีตัวไอนำหน้า"
เมื่อถามว่าจะวัดผลอย่างไร เขายอมรับว่าค่านิยมยังยากสำหรับการวัดผล แต่ทุก ๆปีบริษัทจะมีการสำรวจความพึงพอใจพอให้เห็นแนวโน้ม และทิศทางที่ควรต้องเดินไป
นอกจากนี้ เขายังมีการขับเคลื่อนแนวคิด “องค์กรแห่งความสุข” หรือ “Happy Workplace”
"เพราะพนักงานทุกคนจะใช้เวลาในที่ทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน เราจึงอยากทำให้ที่ทำงานเป็นสถานที่ที่มีความสุขสำหรับเขา ผมเชื่อว่า Happy Workplace จะสามารถทำให้พนักงานของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น"
เมื่อไม่นานมานี้ ซัมมิท แคปปิตอล เพิ่งย้ายออฟฟิศมาอยู่ที่ชั้น 11 อาคารอื้อจือเหลียง ซึ่งมีสไตล์การตกแต่งที่เน้นบรรยากาศการทำงานที่โปร่งใส สะดวกสบาย สะอาด ปลอดภัย เหมือนอยู่ที่บ้านแน่นอนความโปร่งใสเป็นการสะท้อนถึงหนึ่งในค่านิยมหลักขององค์กร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นห้องประชุมหรือห้องผู้บริหารก็จะเป็นกระจกใสทั้งหมด ขณะที่บริเวณโต๊ะทำงานของพนักงานก็จะไม่มีพาร์ทิชั่นกั้นเพื่อให้ทุกคนสามารถมองเห็นกันได้ ไม่มีอะไรปิดบังสายตา
“เราควรเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของเขาด้วย เพราะความคิดของคนเปลี่ยนยาก แต่เมื่อเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อความคิดเขาก็จะค่อย ๆเปลี่ยน”
ความสมดุลของชีวิตส่วนตัวและการทำงาน (Work-Life balance) ก็เป็นอะไรที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน เวลานี้พนักงานทุกคนของซัมมิท แคปปิตอลจึงสามารถเลือกเวลาเข้างานออกงานได้เองเป็นการออกแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible Hours) และยังมีสวัสดิการอีกมากมายหลายอย่างให้กับพนักงาน
ที่กล่าวมาทั้งหมดค่อนข้างเป็นเรื่อง “Soft Side” เป็นการบริหารแนวคิด จิตใจของมนุษย์ ขณะที่ ฮิเดโตโมะ ฟูจิวาระ บอกว่าในยุคที่เขาขึ้นเป็นประธานบริษัทยังมีแผนจะนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ขับเคลื่อนเป้าหมายยกระดับบริษัทโกลบอลด้วย ก็เพื่อติดตามคลื่น “ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์มเมชั่น” ได้ทัน บริษัทจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งต้องอาศัยพัฒนาศักยภาพพนักงาน
ในเร็วๆนี้ ซัมมิท แคปปิตอลกำลังจะลอนซ์ “ซัมมิท อคาเดมี ซิสเต็มส์” เป็นอีเลิร์นนิ่งเพื่อให้พนักงานของบริษัทสามารถพัฒนาความรู้ความสามารถได้ทุกที่ ทุกเวลา
“เดิมทีบริษัทของเราอบรมคนในคลาสรูม เวลามีการเทรนนิ่งก็ต้องเดินทางไปสอนไปอบรมกันที่สาขาซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดต่างๆ แต่การเรียนในรูปแบบอีเลิร์นนิ่งจะสร้างความสะดวกให้กับพนักงานของเรา ไม่ว่าเขาจะอยู่จังหวัดไหนก็เรียนได้โดยไม่ต้องเดินทาง และเราก็จะใช้ช่องทางนี้เทรนเรื่องค่านิยมองค์กรด้วย ในปีนี้เราตั้งใจจะมีการเทรนออนไลน์ครั้งละ 5 นาทีสั้นๆแต่เทรนกันบ่อยๆ”
สรุปสุดท้ายเขามองว่าคีย์ซัคเซสขึ้นอยู่ที่ความ “ยุติธรรม” ของผู้นำซึ่งก็คือตัวเขาเอง เขาบอกว่าถ้าผู้นำไม่มีความยุติธรรม ก็คงไม่มีใครอยากจะเดินตาม ในการขับเคลื่อนบริษัท จะสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ที่ตัวผู้นำที่จะต้องมีความยุติธรรม และเขาก็ได้ชี้ไปที่ห้องทำงานของเขาซึ่งเป็นห้องกระจก โปร่งใส เพื่อให้พนักงานมองเห็นได้และสามารถเคาะประตูพูดคุยกับเขาได้ตลอดเวลา