ธุรกิจระบบดับเพลิงครบวงจร รับอานิสงส์ 'อีอีซี' โตสวนกระแส 'โควิด'

ธุรกิจระบบดับเพลิงครบวงจร รับอานิสงส์ 'อีอีซี' โตสวนกระแส 'โควิด'

แม้ว่าในภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรง แต่ในกลุ่มอุตสาหกรรมการก่อสร้าง และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาจจะได้รับผลกระทบที่ไม่รุนแรงมากนัก โดยเฉพาะในธุรกิจออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิงในอาคาร และโรงงาน

นายทักษิณ ตันติไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (FTE) ผู้นำธุรกิจนำเข้าและจำหน่าย บริการออกแบบ รับเหมาติดตั้ง ซ่อมแซม ตรวจสอบอุปกรณ์-ระบบดับเพลิงครบวงจร เปิดเผยว่า แม้ว่าสถานการณ์โรคโควิด-19 จะแพร่ระบาด แต่ในธุรกิจของบริษัทฯ ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจากลูกค้าของบริษัทฯกลุ่มใหญ่จะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม งานโครงการ และงานโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟฟ้า อาคารต่างๆ

ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมายการก่อสร้างอาคารของกรมโยธาธิการแบละผังเมือง กฎหมายของกรมโรงงาน กำหนดให้ทุกอาคาร และโรงงานจะต้องติดตั้งระบบดับเพลิงให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลดึงดูดการลงทุนเต็มที่

ทำให้เกิดนิคมอุตสาหกรรมใหม่ๆ เกิดโรงงานใหม่ๆและการขยายโรงงานเดิม และการก่อสร้างอาคารต่างๆ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่ล้วนแต่จะต้องติดตั้งระบบดับเพลิง ทำให้ธุรกิจของเราขยายตัวตามโครงการที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้

“การแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจจะทำให้โครงการใน อีอีซี ชะลอตัวลงบ้าง แต่การลงทุนอุตสาหกรรมยังเติบโต โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ก็ได้ทยอยเซ็นต์สัญญาไปแล้วหลายโครงการ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 บริษัทฯ ก็จะเข้าร่วมโครงการเหล่านี้ ซึ่งเป็นโครงการระยาวจะเห็นผลในอีก 3-5 ปีข้างน้า”

158661240985

โดย ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ไปเปิดกลุ่มลูกค้าที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มเติมจากเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นงานโครงการ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ทำให้มีรายได้ในส่วนนี้เข้ามาเพิ่มประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นการกระจายส่วนแบ่งรายได้ให้ขยายฐานมากขึ้น โดยในอนาคตมั่นใจว่าในอีอีซี จะมีการขยายนิคมอุตสาหกรรมต่างๆเพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดโรงงานใหม่ๆ และการขยายโรงงานเดิมเพิ่มขึ้น

บริษัทฯก็จะมีรายได้จากโครงการ อีอีซี เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในปี 2563 รายได้ที่มาจากกลุ่มโรงงานจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 20% มีรายได้จากกลุ่มนี้ประมาณ 250-300 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุด

“ในภาคโรงงานอุตสาหกรรม มีความต้องการระบบดับเพลิงสูง เพราะมีกฎหมายบังคับในเรื่องความปลอดภัยที่เข้มงวด ทำให้โรงงานมีความต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิงนี้”

สำหรับในธุรกิจจำหน่าย และติดตั้งระบบอุปกรณ์ดับเพลิงมีคู่แข่งอยู่พอสมควร แต่ FTE มีศักยภาพการแข่งขันสูงกว่ารายอื่น เพราะนำเข้าสินค้าอุปกรณ์ต่างๆจากผู้ผลิตเบอร์ 1 – 3 ของโลก ส่งตรงให้กับลูกค้า

ทำให้ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพสูง รวมทั้งยังมีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบ ติดตั้งระบบดับเพลิงทั้งในอาคาร และโรงงาน ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า โดยในปัจจุบันบริษัทฯ มีรายได้จากกลุ่มอาคารชุดคอนโดมิเนียม 30-40% งานราชการและเอกชน 30% โรงงานทั่วไปในอีอีซี 20% และโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 20%

นายทักษิณ กล่าวว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้มุ่งเน้นกลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้น ประกอบด้วย การขยายฐานลูกค้างานรับเหมาออกแบบติดตั้งระบบฯ โดยการเจาะกลุ่มหน่วยงานราชการ โรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง และเน้นการรับงานโครงการขนาดใหญ่ เช่น งานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิงสถานีไฟฟ้าแรงสูงของ กฟผ. งานปรับปรุงระบบดับเพลิงสนามบินทั่วประเทศ การเพิ่มประสิทธิภาพด้านงานขาย

โดยเพิ่มทีมขายที่มีความเชี่ยวชาญ อีกทั้งการเพิ่มผลิตภัณฑ์รูปแบบต่างๆ ครอบคลุมความต้องการใช้งานของกลุ่มลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน

“ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ยังมีความเสี่ยงเรื่องความล่าช้าของโครงการภาครัฐ และการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดอุปกรณ์ดับเพลิงปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ดี ตามความต้องการใช้งานต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ขอรับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) รวมถึงการสร้างอาคารใหม่และการปรับปรุงระบบดับเพลิงของหน่วยงานราชการ ถือเป็นโอกาสการรับงานของบริษัท ”