ผวา 'เทรดวอร์' ซ้ำเติมโควิด ฉุดศก.โลก 'ถดถอย' ครั้งใหญ่
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19” ยังไม่ทันจะคลี่คลาย ประธานาธิบดี“โดนัลด์ ทรัมป์”ของสหรัฐ ก็ออกมา “เปิดศึก” รอบใหม่กับ “จีน”
โดยกล่าวหาว่า จีน คือต้นตอการแพร่ระบาดของโรคโควิด ซึ่ง “ทรัมป์” ประกาศว่า จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน สร้างความกังวลว่า สงครามการค้าระหว่าง “สหรัฐ” กับ “จีน” จะกลับมาปะทุอีกครั้ง
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวนการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า หากสหรัฐกลับมาทำสงครามการค้ากับจีนอีกครั้งในช่วงเวลานี้ จะยิ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกทำให้แย่ลงมากขึ้น ซึ่งเวลานี้ทั่วโลกเริ่มพูดคุยกันว่า เศรษฐกิจโลกอาจเกิดภาวะตกต่ำครั้งใหญ่เหมือนที่เกิด Great Depression เมื่อปี1929 หากเกิดจริงจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยมาก เพราะไทยเป็นประเทศพึ่งพาการค้าโลกเป็นหลัก
"ตอนที่เกิด Great Depression การค้าโลกลงไปลึกมาก แต่ครั้งนี้มีความแตกต่างกันตรงที่ ธนาคารกลางและรัฐบาลหลายประเทศได้เรียนรู้จากวิกฤติในคราวนั้น ซึ่งครั้งนั้นธนาคารกลางทั่วโลกใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดทำให้สถานการณ์ยิ่งหนัก แต่ครั้งนี้ เฟด(ธนาคารกลางสหรัฐ) ผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น ซึ่งถ้าเทียบกับของไทยแล้ว ของเราถือว่ายังเล็กน้อยมาก"
นายดอน กล่าวด้วยว่า ประเด็นเรื่องสงครามการค้า ถือเป็นความเสี่ยงที่มีมาโดยตลอด แต่หากเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ทั่วโลกกำลังเผชิญผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19” ก็มีความเป็นไปได้ที่ มาตรการดูแลเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท อาจไม่เพียงพอ และทำให้ภาครัฐต้องอัดฉีดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อดูแลเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ณ เวลานี้ วงเงินดังกล่าวยังสามารถยันไว้ได้
ส่วนประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ ธปท. ยังประเมินว่า จีดีพี มีแนวโน้มหดตัวในระดับ 5.3% โดยประมาณการดังกล่าวมีขึ้นในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า การแพร่ระบาดจะคลี่คลายลงในไตรมาส 2 ซึ่งถ้าดูสถานการณ์ภายในประเทศ ณ ตอนนี้ ก็ดูเหมือนจะคลี่คลายลงได้ภายในไตรมาส 2 เพียงแต่ถ้าดูเศรษฐกิจโลกถือว่าหดตัวมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้
“เรามองว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งก็เข้าสู่ภาวะถดถอยจริง แต่ตอนที่ประเมินคือเดือนมี.ค. ผ่านมา 1 เดือน เศรษฐกิจโลกถดถอยมากกว่าคาด ดังนั้นในเดือนพ.ค.นี้ คงต้องทบทวนตัวเลขประมาณการณ์ใหม่อีกครั้ง”
สำหรับมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของภาครัฐในวงเงิน 4 แสนล้านบาทนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องติดตาม เพราะจะมีผลต่อประมาณการเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ซึ่งเวลานี้ยังไม่ชัดเจนว่า เงินส่วนนี้จะถูกใช้อย่างไร
“เรื่องการฟื้นฟู สิ่งที่เราคาดหวัง คือ การฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว เพราะถือเป็นกลุ่มที่โดนผลกระทบหนักสุด เงิน 4แสนล้าน ถ้าส่วนหนึ่งนำมาใช้ดูแลเรื่องนี้ ก็ถือว่าตรงจุด และอีกส่วน คือ เวลานี้หลายคนโดนผลกระทบต้องหางานใหม่ หลายคนกลับสู่ภาคชนบท เราจึงอยากเห็นระบบชลประทานที่ดี เพื่อช่วยภาคเกษตรไปได้”
ส่วนปัญหาภัยแล้ง ถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญกับ perfect storm เพราะสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผลผลิตภาคเกษตรแรงกว่าที่คาดในช่วงไตรมาสแรก ขณะที่ไตรมาสสอง คาดว่าจะเริ่มมีฝนทำให้สถานการณ์ดังกล่าวดีขึ้นบ้าง ประกอบกับมาตรการเยียวยาในส่วนของ 6 แสนล้านบาท ถูกแบ่งมาใช้เยียวยาภาคเกษตร ซึ่งถือว่าช่วยได้ในระดับหนึ่ง
นายดอน กล่าวด้วยว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเวลานี้ผ่านการใช้นโยบายการคลังและการเงิน ซึ่งเราอาจยอมให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นเกิน 60% ได้บ้าง แต่ระยะยาวแล้วจำเป็นต้องดึงลงมา เช่นเดียวกับดอกเบี้ยแม้ตอนนี้ต้องปล่อยให้อยู่ระดับต่ำ แต่ระยะข้างหน้าจำเป็นต้องปรับขึ้นไปเพื่อป้องกันปัญหาใหม่ที่จะตามมา โดยเฉพาะการเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่างๆ
ด้าน นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดูการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม
รวมไปถึงผู้ประกอบการขนาดเล็กกว่าเอสเอ็มอี และประชาชนในกลุ่มเปราะบางซึ่งกระทรวงการคลังต้องไปจัดทำรายละเอียดว่าครอบคลุมประชาชนกี่คน และต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่เพื่อนำมาเสนอ ครม.อีกครั้ง โดยมั่นใจว่าวงเงินที่เตรียมไว้เยียวยาผู้ที่เดือดร้อนจากโควิด-19 วงเงินประมาณ 5 แสนล้านบาท ตาม พ.ร.ก.กู้เงินฯ ยังรองรับได้
นายอุตตม กล่าวว่า ต้องไปสรุปแนวทางการเยียวยาประชาชนในกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เช่น กลุ่มผู้มีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ผู้สูงอายุที่มีสิทธิ์ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนพิการที่มีสิทธิได้รับเบี้ยความพิการ และกลุ่มคนไร้บ้าน โดยจะต้องสรุปหลักเกณฑ์ จำนวน และวงเงินให้ชัดอีกครั้งว่าจะเยียวยารายละเท่าใด เป็นเวลากี่เดือน ก่อนเสนอครม.พิจารณา
ทั้งนี้ตามรายงานข่าวจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ล่าสุดได้มีการสรุปตัวเลขจำนวนกลุ่มผู้เปราะบางเบื้องต้นแล้ว จะรอบคลุมประมาณ 14 ล้านคน ซึ่งในการประชุมความร่วมมือระดับปลัดกระทรวง ที่มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็ได้รับทราบแนวทางการเยียวยาเบื้องต้นแล้ว
นอกจากนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายกรัฐมนตรียังได้รับทราบความคืบหน้าการเยียวยาเกษตรกร จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยล่าสุดกระทรวงเกษตรฯ อยู่ระหว่างการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้ครอบคุลมทั้งหมด รวมไปถึงผู้ที่มาลงทะเบียนรายใหม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แจ้งว่า จะต้องไปดูให้ครบถ้วนอย่าให้เกิดการตกหล่น และไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อนกันด้วย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในที่ 7 พ.ค.นี้จะเดินทางไปร่วมประชุมกับคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่จะมีการประชุมนัดพิเศษเพื่อเตรียมการแผนงานสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจตามวงเงิน 4 แสนล้านบาท ซึ่งอยู่ใน พ.ร.ก.การให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ.2563
สำหรับวาระที่ประชุมในวันดังกล่าวจะให้ ธ.ก.ส.เสนอแผนงานที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรในภาคชนบท ตามแนวทางพระราชดำริซึ่งเป็นแผนงานสำคัญที่จะทำในช่วงครึ่งปีหลัง และจะใช้เงินส่วนหนึ่งจากวงเงิน 4 แสนล้านบาที่รัฐบาลได้เตรียมวงเงินไว้