ลอรีอัล จับตา 'นิวนอร์มอล' ผู้บริโภครักสวยใต้หน้ากาก

19 ปีบนเส้นทางธุรกิจ เผชิญวิกฤติมากมายแต่เป็นด้านเศรษฐกิจ เช่น วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ที่ธุรกิจมี 2 ทางเลือกไม่ตายก็ต้องอยู่รอด ซึ่งผู้ที่รอดต้อง “ปรับตัวให้เร็วสุด” และทำให้ “ลอรีอัล” ยักษ์ใหญ่ธุรกิจความงามของโลกแข็งแรงขึ้นด้วย ทว่า โรคโควิด-19 ที่ลามโลกในข้ามคืน ถือว่าเหตุการณ์สาหัสสากรรจ์อย่างมาก 

ขณะที่ 2 ปีของการเป็นแม่ทัพความงามในประเทศไทย อินเนส   คาลไดรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ไมล์สโตนสั้นๆกลับเจอปัจจัยมากมายกระทบต่อการทำงาน ทั้งที่ก่อนมากุมบังเหียนผู้นำ รับรู้มุมดีๆไทยมีอาหารรสเลิศ ธรรมชาติเลิศล้ำ แต่จะเจออุปสรรคอย่างไร ยังยาหอมเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเมืองไทยไม่ได้ นั่นคือ “บ้าน”

ทว่า ในแง่การบริหารธุรกิจความงามช่วงโควิด ยอมรับว่า ทำแบบเดิมไม่ได้ และการปรับแผน เป้าหมายเกิดขึ้นสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ตามสถานการณ์รายล้อม มาตรการรัฐเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

อินเนส   คาลไดรา

“การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นประสบการณ์ใหม่กระทบการทำงาน ในช่วงวิกฤติสิ่งที่ให้ความสำคัญคือบทบาทการเป็นผู้นำ และให้คุณค่าของคน ใหความปลอดภัยของทีมงาน พันธมิตร ส่วนการทำงานปีนี้ถือว่าท้าทายที่สุด ได้เรียนรู้การทำงานมากมายจากเพื่อนร่วมงาน ทีมบริหาร การตัดสินใจร่วมกัน”

ภาพรวมธุรกิจความงามมีมูลค่าร่วม 2 แสนล้านบาท อินเนส ประเมินภาพรวมตลาดได้รับผลกระทบจากโควิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเดือนเม.ย.คาดว่าตลาดอยู่ใน “แดนลบ” ขณะที่ปี 2562 ตลาดเติบโตราว 2.5% ขณะที่เทรนด์ต้องจับตามองคือ New Normal ของพฤติกรรมผู้บริโภครักสวยรักงามหลังโควิดคลี่คลาย จะเป็น “ความงามใต้หน้ากาก” เพื่อป้องกันไวรัส และโลกการทำงานของสาวออฟฟิศผ่านเทคโนโลยีเสมือนจริงหรือ Virtual ต่างๆ ซึ่งแบรนด์ต้องเตรียมกลยุทธ์ให้พร้อมบุกตลาด เช่นการคิดสินค้าลิปติกแบบใหม่ๆ โอกาสการเติบโตของกลุ่มสินค้าสีสัน(เมกอัพ)กลุ่มทาตา สินค้าดูแลผิวพรรณ เพราะการสวมใส่หน้ากากอาจมีแบคทีเรียสะสมกระทบผิวหน้า เป็นต้น

ส่วนแผนตลาดระยะสั้น เมื่อรัฐปลดล็อกให้ร้านทำผมหรือซาลอนเปิดบริการสระ ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านซาลอนเครือข่ายที่มีราว 1,200 รายทั่วประเทศ จากภาพรวมธุรกิจร้านซาลอนในไทยมีประมาณ 1.2 แสนร้าน มูลค่าตลาดราว 6 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่รายได้ 70% ของร้านมาจากการทำสีผม ดัดผม แต่ตอนนี้ยังให้บริการไม่ได้

“ลอรีอัลมีผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมทั้งสระ ทรีทเมนต์ ทำสีผม 2 แบรนด์ ได้แก่ ลอรีอัล โปรเฟสชั่นนอล และเคเรสตาส เพื่อเจาะลูกค้าซาลอน การปิดร้านช่วงโควิดทำให้ร้านขาดรายได้” จึงยืดการชำระเงินออกไปจนกว่าจะธุรกิจจะกลับมาปกติ”

นอกจากนี้ ได้ตั้งทีมงานพิเศษลุยโครงการ SALON SOLIDARITY PROGRAM เสริมสร้างทักษะ เทคนิค กลยุทธ์การทำตลาดให้ร้านซาลอนสามารถฟื้นธุรกิจหลังโควิดให้กลับมาดีเหมือนเดิม พร้อมกันนี้ได้สำรวจความต้องการและความมั่นใจของผู้บริโภคในการใช้บริการร้านซาลอน พบว่า กว่า 85%ของผู้ตอบแบบสำรวจรู้สึกถึงความจำเป็นในการใช้บริการทำผมที่ร้านในช่วงล็อกดาวน์ ตามด้วย 70% รู้สึกว่าการไม่สามารถรับบริการจากช่างผมได้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะและความมั่นใจของตนเอง 40% ของผู้ชายรู้สึกว่าการไม่สามารถรับบริการจากช่างผม กระทบความมั่นใจและสุขภาวะตนเอง

ส่วนบริการที่ต้องการมากสุด 38% คือทำสีและไฮไลท์ ตามด้วย 27% การดัดผมหลังร้านเปิดเต็มรูปแบบ 41% รู้สึกมั่นใจที่จะได้ใช้บริการตัดผม เสริมสวยอีกครั้ง และ 78% อยากกลับไปใช้บริการซาลอนในสัปดาห์แรกที่เปิด 44% จะไปใช้บริการทันทีที่ร้านเปิดบริการเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ ผู้บริโภค 2ใน3 เชื่อว่าร้านจะปฏิบัติตามมาตรการรัฐอย่างถูกต้อง เช่น รักษาระยะห่าง สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค เมื่อแบรนด์รู้ความต้องการดังกล่าวจะทำให้ติดอาวุธช่วยร้านซาลอนได้อย่างดี

SALON SOLIDARITY PROGRAM ที่ลอรีอัลช่วยเพิ่มทักษะด้านการทำตลาดออนไลน์แก่ร้านซาลอน

ที่ผ่านมา มีวิกฤติมากมายกระทบธุรกิจ ทั้งเศรษฐกิจ กำลังซื้อชะลอตัว แต่ตลาดสินค้าความงามยัง “ยืนหนึ่ง” ด้านการเติบโต เพราะเชื่อมั่นว่าผู้หญิงอย่าหยุดสวย เพราะแม้ทำงานที่บ้าน ประชุมออนไลน์ ทำให้ต้องแต่งหน้ารักษาภาพลักษณ์ ขณะที่โควิดทำให้ผู้บริโภคอยู่บ้าน เกิดความเบื่อหน่าย เครียด การลุกขึ้นมาแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าทำให้หัวใจพองโตสดชื่นได้ด้วย

“จุดแข็งที่ทำให้ธุรกิจความงามยังเติบโตท่ามกลางวิกฤติ เพราะความสวยไม่เพียงทำให้ผู้บริโภครู้สึกดี สดชื่น uplift จิตวิญาณ และในช่วงสถานการณ์ปกติการทำตัวเองให้สวยยังเปลี่ยนอารมณ์ของผู้บริโภคได้ แล้วตอนนี้เกิดวิกฤติโรคระบาด จิตใจต้องการกำลังใจ ดังนั้นสินค้าความงามจึงมีบทบาทพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นการแต่งแต้มความสวยงามบนใบหน้ายังเป็นเรื่องของการมองเห็นคุณค่าในตัวเองหรือ Self Esteem ด้วย”