'กองทุนหุ้น AI' ฝ่าวิกฤติไวรัส
วิกฤติโรคระบาดที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19” ทำให้ชีวิตหลังจากนี้อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดในช่วงต้นเดือนก.พ.ถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงระเนระนาด
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงจนทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้จะลงทุนสินทรัพย์อะไรก็ดูเหมือนขาดทุนเยอะไปหมด
แต่ท่ามกลางข่าวร้ายๆ ยังมีข่าวดีอยู่บ้าง เพราะใช่ว่าทุกสินทรัพย์การลงทุนจะปรับลดลงเหมือนกันหมด ยังมีหลักทรัพย์ที่ “ไม่อันตราย” จนเกินไป เช่น “กลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่” ซึ่งถือเป็นทั้ง disruptors และ survivor สามารถอยู่รอดปลอดภัยท่ามกลางวิกฤติรอบนี้ อีกทั้งยังเป็นกลุ่มหุ้นที่ฟื้นตัวเร็วก่อนใครด้วย
การปรับขึ้นของราคาหุ้นในกลุ่มนี้สะท้อนผ่านไปยังผลตอบแทนของ “กองทุนหุ้นAI” ซึ่งหลายกองทุนผลตอบแทนเริ่มดีดกลับขึ้นมา เช่น “กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เทคโนโลยี อาร์ทิฟิเชียล อินเทลลิเจนซ์ อิควิตี้ ฟันด์” (KTAM World Technology Artificial Intelligence Fund: KT-WTAI) ที่เคยติดลบ ไปถึง 13.74% เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมานี้ แต่ล่าสุดพลิกกลับมาเป็นบวกได้เกือบ 5% ณ 14 พ.ค. ที่ผ่านมานี้ โดยผลตอบแทน 1 เดือนที่ผ่านมาเป็นบวกถึง 19%
นโยบายการลงทุนของ KT-WTAI จะเน้นการลงทุน “ตราสารทุนทั่วโลก” ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทที่จะได้รับประโยชน์หรือเกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)
ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวได้แต่งตั้ง Allianz Global Artificial Intelligence Fund บริหารโดย Allianz Global Investors ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจาก San Francisco ที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเป็นที่รู้จักใน Silicon Valley เป็นอย่างดี เป็นผู้รับดำเนินการลงทุนในต่างประเทศของกองทุน(กองทุนหลัก)
สำหรับกองทุนต่างประเทศที่ KT-WTAI นำเงินไปลงทุนสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80 % ได้แก่ Allianz Global Artificial Intelligence Fund โดยเลือกลงทุน ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ AI จะมีการเติบโตของกำไรสูงกว่าทั้ง S&P500 และ กลุ่มTechnology ทั่วไป ทั้งในระยะสั้น (12เดือนข้างหน้า) และ ระยะยาว (3-5ปี)
ปัจจุบันเงิน KT-WTAI มีมูลค่าทรัพย์สิน 1.130 พันล้านบาท โดยเงินลงทุนถูกจัดสรรไปลงทุนใน กองทุน Allianz Global Artificial Intelligence Fund สัดส่วน 97.67% ที่เหลือเป็นเงินฝากโดยกองทุนหลักไปกลุ่มอุตสาหกรรมที่นำAIมาใช้ต่อยอดสามารถตอกย้ำความเป็นผู้นำของบริษัทเหล่านี้ ที่น่าจะเข้มข้นยิ่งขึ้นอีกในยุคหลังโควิด
อย่างเช่น สินทรัพย์ลงทุนสูงสุด5อันดับแรกของกองทุนหลัก ได้แก่ Roku Inc. (Entertainment) สัดส่วน 6.3% ,ON Semiconductor Corp. (Semicon &Semicon Equipm) สัดส่วน 4.33% Facebook Inc. (Interactive Media&Service ) สัดส่วน 3.94% ,Broadcom Inc.(Semicon &Semicon Equipm) สัดส่วน 3.91% และ Square Inc. (IT Service ) สัดส่วน 3.71%
ด้วยจุดเด่นกองทุน KT-WTAI เน้นลงทุนในหุ้นทุกอุตสาหกรรม ที่มีการนำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ในการทำธุรกิจฝ่าวิกฤติรอบนี้ได้ซึ่งแตกต่างจากกองทุนกลุ่มเทคโนโลยีทั่วไป ที่จะเน้นบริษัทในหมวดเทคโนโลยีเท่านั้น ทำให้กองทุนนี้ น่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกช่วยสร้างการเติบโตให้กับเงินลงทุนในระยะยาวได้
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของ “ความเสี่ยง” กองทุน KT-WTAI ถูกจัดว่าเป็นกองทุน “ความเสี่ยงสูง” ในระดับ 6 จาก 9 ระดับ ทำให้ความผันผวนของผลดำเนินงานอาจแกว่งตัวได้ถึงระดับ 15 – 25% และส่วนหนึ่งของความเสี่ยงเป็นผลจากการที่กองทุนอาจต้องลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการลดความเสี่ยง (Hedging) จากอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นจากการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศ
ดังนั้นกองทุน KT-WTAI จึงเหมาะกับการลงทุนในระยะเวลา 1-3 ปี และผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงการลงทุนในต่างประเทศได้ และยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงในกลุ่มอุตสาหกรรม AI มาใช้ รวมถึงยอมรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากมีการลงทุนในตราสารทุน
ในส่วนของค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวมของกองทุน KT-WTAI ปัจจุบันเรียกเก็บอยู่ที่ 1.5% ต่อปี โดย ณ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา มีสินทรัพย์สุทธิของกองทุนอยู่ที่ 1,005.63 ล้านบาท
ที่สำคัญยังเป็นกองทุนเปิด ที่ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ตลอดเวลา (ตามที่กองทุนกำหนด) โดยเป็นกองทุนที่ไม่จ่ายเงินปันผล ซึ่งข้อดีของการไม่จ่ายเงินปันผลนั้น คือ จะทำให้มูลค่าของกองทุนเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่องตามผลประกอบการที่เติบโตและผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับหลักหักค่าธรรมเนียมกองทุนแล้วจะได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย