คนดังจองซื้อ 'หุ้น STGT' อื้อ 'เสี่ยยักษ์' โกยกำไรกว่า 1.1 พันล้าน
คนดังแห่จองซื้อไอพีโอหุ้น “ศรีตรังโกลฟส์” พรึบ “เสี่ยยักษ์” รับมากสุด 22.2 ล้านหุ้น กำไรแล้วกว่า 1.1 พันล้าน นางแบบดัง "แคทรียา บีเวอร์" กวาดกำไรกว่า 844 ล้าน ตระกูล "ตั้งคารวคุณ" เจ้าของสีทีโอเอ ฟันกำไรกว่า 626 ล้าน
หุ้นน้องใหม่ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT ถือเป็นหุ้นที่ปลุกกระแส "หุ้นไอพีโอ"ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยกระแสตอบรับในหุ้นตัวนี้ถือว่าดีตั้งแต่ยังไม่ทันได้เปิดจองซื้อ เพราะเป็นหุ้นที่รับอานิสงส์จากการแพร่ระบาดของโควิด-19จากการเป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ อันดับ 3 ของโลก ที่มีความต้องการสูงมากจนสินค้าขาดตลาด
โดย STGT เสนอขายไอพีโอรวมทั้งสิ้น 44.78 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์) 1 บาท ส่วนราคาเสนอขายอยู่ที่ 34 บาท เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันแรกเมื่อวันที่ 2 ก.ค.2563 ซึ่งก็ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง เพราะราคาหุ้นที่เข้าซื้อขายในวันแรกเพิ่มขึ้นถึง 77.94% มาอยู่ที่ 60.50 บาท
จากนั้นราคาหุ้นยังคงปรับขึ้นร้อนแรง จากแนวโน้มธุรกิจที่เติบโตดี ทำให้โบรกเกอร์ต่างๆ ขยับราคาเป้าหมายสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม STGT เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเพียงสัปดาห์เดียวก็ถูก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ขึ้นบัญชี Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.-21ส.ค.
อย่างไรก็ตามแม้จะติด Cash Balance แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นมากนัก เพราะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนทำสถิติสูงสุด 89.25 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ล่าสุด(11ส.ค.) ราคาหุ้นปิดตลาดที่ 85.75 บาท ซึ่งนักลงทุนที่จองซื้อหุ้นดังกล่าว หากยังไม่ขายออกมาจะมีกำไรแล้วกว่า 150%
หากดูรายชื่อนักลงทุนบุคคลที่ได้รับจัดสรรหุ้น “STGT” พบว่า มีนักลงทุนรายใหญ่ และคนในตระกูลดังกล่าว ได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวนมาก โดยผู้ที่ได้รับจัดสรรมากสุด คือ นายวิชัย วชิรพงศ์ หรือ “เสี่ย ยักษ์” นักลงทุนรายใหญ่ ได้รับจัดสรรหุ้น จำนวน 22.2 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.06% มูลค่า 754.80 ล้านบาท หาก นายวิชัย ยังไม่ขายหุ้นดังกล่าวออกมาก็จะมี “กำไร” จากหุ้นตัวนี้ราว 1,149 ล้านบาท
รองมา คือ น.ส.แคทรียา บีเวอร์ อาชีพนางแบบ ได้รับจัดสรรหุ้น จำนวน 16.32 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.72% มูลค่า 554.94 ล้านบาท หากยังไม่ขายหุ้นก็จะมีกำไรราว 844 ล้านบาท
ขณะที่ครอบครัวตระกูล “ตั้งคารวคุณ” แห่งอาณาจักรสี ทีโอเอ ได้รับการจัดสรรหุ้นรวม 12.18 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.76% มูลค่า 411.4 ล้านบาท มีกำไรรวมกันกว่า 626.17 ล้านบาท แบ่งเป็น นายชวิน ได้รับจัดสรรหุ้นจำนวน 5.34 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.22% มูลค่า 181.56 ล้านบาท มีกำไรราว 276 ล้านบาท นายคเณศ ได้รับจัดสรรหุ้นจำนวน 5.26 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.20 % มูลค่า 178.84 ล้านบาทและนายประวิทย์ ได้รับจัดสรรหุ้น 1.5 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.34% มูลค่า 51.03 ล้านบาท
ส่วนนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา “บอสใหญ่ คิงเพาเวอร์” ได้รับจัดสรรหุ้นอันดับที่ 5 จำนวน 4.01ล้านหุ้น คิดเป็น 0.91 % มูลค่า 136.37 ล้านบาท มีกำไรราว 207.5 ล้านบาท อันดับ 6.น.ส.กชกร วชิรพงศ์ ได้รับจัดสรรหุ้น จำนวน 3 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.68 % มูลค่า 102.03 ล้านบาท กำไรราว 155 ล้านบาท อันดับ 7.น.ส.กนกพร ศีตวรรัตน์ ได้รับจัดสรรหุ้น จำนวน 3 ล้านหุ้น คิดเป็น0.68 % มูลค่า102 ล้านบาท กำไรราว 155 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบว่า นายบุญชัย เกษมวิลาศ และ น.ส.สุนันท์ งามอัครกุล ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น(DCORP) ได้รับจัดสรรหุ้น คนละ 3 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.68% มูลค่า 102 ล้านบาท ได้กำไรคนละ 155 ล้านบาท
ขณะเดียวกันยังมีคนดังอีกมาก เช่น น.ส.พาพิชญ์ วงศ์ไพฑูรย์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ริช สปอร์ต (RPS) และ นายสมยศ อรรถสกุลชัย ผู้ถือหุ้นใหญ่ “บีทาเก้น” ได้รับจัดสรรหุ้น จำนวน 3 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.68 % มูลค่า 102 ล้านบาท ได้กำไรคนละ 155 ล้านบาท และ นายปริทัศน์ เพชรอำไพ ลูกชาย นาย ชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ได้รับจัดสรรหุ้น 1.17 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.27% มูลค่า 39.78 ล้านบาท ได้กำไรราว 60.5 ล้านบาท
สำหรับนักลงทุนสถาบันที่ได้รับจัดสรรหุ้นพบ มีกองทุนระดับโลกจองซื้อหลายรายจองซื้อ โดยซึ่งผู้ที่ได้รับจัดสรรสูงสุด 5อันดับ แรก คือ Deutsche Bank AG, London Prime Brokerage ได้รับจัดสรรหุ้น จำนวน 28.08 ล้านหุ้น คิดเป็น 6.40% มูลค่า 954.89 ล้านบาท รองมา Credit Suisse AG,Dublin Branchได้รับจัดสรรหุ้น จำนวน 19.27 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.39% มูลค่า 655.35 ล้านบาท อันดับ3 UBS AG, London Branch ได้รับจัดสรรหุ้น จำนวน 18 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.10% มูลค่า 612 ล้านบาท อันดับ4 HSBC Trinkaus & Burkhardt AG ได้รับจัดสรรหุ้นจำนวน 9.84 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.24% มูลค่า 334.64 ล้านบาท และอันดับ5 South East Asia UK (Type C) Nominees Limited ได้รับจัดสรรหุ้นจำนวน 9.18 ล้านหุ้น คิดเป็น2.10% มูลค่า 312.75 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุ บริษัทมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี2563และ2564 และราคาเป้าหมายของ STGT หลังประกาศงบไตรมาส 2 ปี 2563 หากผลดำเนินงานไตรมาส2ปีนี้ออกมาดีกว่าคาด จากล่าสุดในต้นเดือนส.ค.ได้ปรับราคาเป้าหมายอยู่ที่ 100 บาท จากเป้าหมายเดิมที่ 85 บาท
ส่วนกำไรปีนี้คาดอยู่ที่ 4,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 565% จากปี 2562 เพราะเชื่อว่ากำไรในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 จะเติบโต เนื่องจาก ราคาขายถุงมือยางในไตรมาส3 ปีนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 40% อยู่ที่ 0.95 บาทต่อชิ้น และจะทรงตัวไปถึงสิ้นปี , การปรับสัดส่วนการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ให้มากขึ้นเป็น 40%-45% ของกำลังการผลิต จากไตรมาส1ปี 2563 ที่ 30% และจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19รวมถึงต้นทุนของยางสังเคราะห์อยู่ในระดับต่ำ