PTTGC - ซื้อ
สถานการณ์ COVID-19 จะคลายตัวลงในปีหน้า
Event
ปรับลดประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้าลง แต่ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายและคำแนะนำ
Impact
ปรับลดประมาณการกำไรปี 2563/64F ลง
เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ลงจากเดิมที่ 8.6 พันล้านบาท เป็นขาดทุนสุทธิ 1.9 พันล้านบาท และปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ลง 30% เหลือ 1.32 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก base GRM และ spread ของ aromatics ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเราปรับลดสมมติฐาน base GRM ของ PTTGC ปีนี้ลง 63% เหลือ US$2.4/bbl และปีหน้าลง 34% เหลือ US$4.0/bbl เนื่องจาก spread ของน้ำมันเบนซิน,น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลลดลงเหลือ US$5.0/3.0/8.0/bbl ในปี 2563 และเหลือ US$9.0/6.0/12.0/bbl ในปี 2564 เพราะได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 นอกจากนี้ เรายังปรับลดสมมติฐาน spread ของ PX และ BZ ลงอีก 19-35% เหลือ US$230/ton และ US$120/ton ในปี 2563 และ 14-24% เหลือ US$280/ton และ US$170/ton ในปี 2564 ตามลำดับ เพราะถูกกดดันจากโรงงาน aromatics ขนาดใหญ่แห่งใหม่ซึ่งจะทำให้เกิดอุปทาน PX ใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง 8.0MTA ในปีนี้ และอีก 2.2MTA ในปีหน้า แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ปรับเพิ่มสมมติฐานราคา HDPE/LLDPE/LPDE จากเดิมอีก 5-10% เป็น US$864/864/954/ton ในปี 2563 และ US$975/975/1,035/ton ในปี 2564 พร้อมทั้งปรับลดสมมติฐานค่าใช้จ่าย SG&A ลง 8% เหลือ 1.41 หมื่นล้านบาทในปีนี้ และเหลือ 1.45 หมื่นล้านบาทในปีหน้า หลังจากที่บริษัทสามารถลด SG&A ลงได้ 8%QoQ ใน 2Q63 และยืนยันว่ามาตรการประหยัดต้นทุนจะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้อย่างน้อย 10% จากค่าใช้จ่ายในปี 2562
คาดว่าผลประกอบการจะพลิกฟื้นในปี 2564F
เราคาดว่า PTTGC จะมีกำไรสุทธิ 1.32 หมื่นล้านบาทในปี 2564 พลิกจากที่คาดว่าจะขาดทุนสุทธิ 1.9 พันล้านบาทใน 2563 เนื่องจากคาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน 1.1 พันล้านบาท จากที่ขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 3.8 พันล้านบาทในปีนี้ ทั้งนี้จากสถานการณ์โรคระบาดที่ดีขึ้นทำให้เราคาดว่า base GRM
ของ PTTGC จะเพิ่มขึ้นถึง 64% YoY เป็น US$4.0/bbl ในปีหน้า นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ i) โครงการ olefins reconfiguration project (ORP) ซึ่งมีกำลังการผลิต ethylene ที่ 500KTA และ propylene ที่ 250KTA และ ii) โครงการ PO/Polyols ซึ่งมีกำลังการผลิต PO ที่ 200 KTA และ Polyols ที่ 130KTA ในเดือนธันวาคม 2563 นอกจากนี้ เราเชื่อว่าราคา polyethylene (PE) ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 2Q63 และจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ราคา PE จะยังคงถูกกดดันจากอุปทาน PE ใหม่ 7MTA ในปี 2563-65 ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของอุปสงค์ในช่วงก่อน COVID-19 ที่ 4MTA จากการประเมินโดย IHS Markit
Valuation & Action
เราขยับไปใช้ราคาเป้าหมายใหม่ปี 2564 ที่ 57.00 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 51.00 บาท โดยอิงจาก EV/EBITDA ที่ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับปกติที่ 7.5x จากเดิมที่ 7.0x เนื่องจากมองว่ากำไรจะโตแรงในปี 2564 และราคา PE จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นจาก 2Q63 เป็นต้นไป นอกจากนี้ เรายังปรับเพิ่มคำแนะนำ PTTGC จาก
ถือ เป็น ซื้อ ด้วย
Risks
ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ GRM และ spread ปิโตรเคมี