TCAP - ซื้อ
ยังจัดเป็นหุ้นปันผลได้
Event
ประชุมนักวิเคราะห์
lmpact
ใกล้ได้ข้อสรุปเรื่องการลงทุนใหม่
หลังจากที่ได้ข้อสรุปกระบวนการ M&A แล้ว TCAP มีเงินสดในมือ 1.2 หมื่นล้านบาทสำหรับการจะไปลงทุน/ซื้อกิจการอื่นในอนาคต โดยการลงทุนอาจจจะอยู่ในรูปของการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพื่อขยายขนาดธุรกิจ AMC ซึ่งดำเนินการผ่าน AMC 3 แห่ง และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เนื่องจาก TCAP กำหนดกรอบเวลาในการเข้าซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพไว้ใน 1H64 ดังนั้น จึงน่าจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับแผนลงทุนใหม่บางส่วนในเร็ว ๆ นี้ เพื่อที่จะได้เริ่มซื้อสินทรัพย์ในปีหน้า
กำไร 60% มาจาก TMB และอีก 26% มาจาก THANI
โครงสร้างกำไรของ TCAP เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่โอน Tbank ไปอยู่ภายใต้ TMB โดยในงวด 9M63กำไร (สุทธิจากสัดส่วนการถือหุ้น) 60% มาจาก TMB, 26% มาจาก THANI และที่เหลือมาจาก PRG,MBK, ธุรกิจประกัน และหลักทรัพย์ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ THANI ลดลง 7% ในขณะที่ผลการ
ดำเนินงานรวมของ PRG, MBK, ประกัน, AMC และหลักทรัพย์ ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะ MBK เราเชื่อว่าผลประกอบการของกิจการที่ TCAP เข้าไปลงทุนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะฟื้นตัวขึ้นในป2564 โดยเรามองว่าประมาณการกำไรปีหน้าของเรามีความเสี่ยงต่ำ
คาดว่าจะจ่ายเงินปันผล 2.50-3.00 บาท/หุ้น
TCAP มีนโยบายจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอที่ประมาณ 40% ของกำไรสุทธิในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตอนที่มีสถานะเป็นธนาคาร แต่หลังจากที่เปลี่ยนสภาพมาเป็น holding company แล้ว บริษัทก็ปรับมาใช้นโยบายการจ่ายเงินปันผลแบบยืดหยุ่น และน่าจะกำหนดอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นกว่าเดิม โดยบริษัทได้
จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 1.20 บาท/หุ้นในงวด 1H63 และน่าจะจ่ายอีก 1.25 -1.80 บาท/หุ้นสำหรับงวด 2H63 คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 7-8% อิงจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 60%ของกำไร (ไม่รวมกำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการขายสินทรัพย์ 3.0 พันล้านบาทใน 1Q63)
คงคำแนะนำ ซื้อ และให้ราคาเป้าหมายปี 2563F ที่ 45.00 บาท (P/BV ที่0.75x, P/E ที่ 10.0)
เราปรับประมาณการกำไรปี 2563/64 ขึ้นอีก 8%/2% เพื่อสะท้อนถึงค่าใช้จ่ายในการกันสำรองที่ลดลงของ THANI และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง ซึ่งทำให้การบริหารจัดการดีขึ้นในงวด 9M63 ทั้งนี้ หากไม่รวมกำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการลงทุน กำไรในปี 2563/64 จะอยู่ที่ 4.20 พันล้านบาท
/5.10 พันล้านบาท (-50%/ +21%) ตามลำดับ ซึ่งเมื่อใช้ P/E ที่ 10x และ P/BV ที่ 0.75x เราจึงยังคงราคาเป้าหมายปี 2564F ไว้ที่ 45 บาท และคงคำแนะนำ ซื้อ
Risks
ผลการดำเนินงานของบริษัทลูกในกลุ่มแย่ลง