โบรกคาด‘ทุนนอก’ไหลเข้า ดันดัชนีหุ้นไทยปีหน้าแตะ1,600 จุด

โบรกเกอร์ ประสานเสียงเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าดันดัชนีแตะ 1,600 จุดต้นปีหน้า “กิมเอ็ง” ชี้ 5 ปัจจัยหนุน หุ้นพุ่ง “กสิกรไทย”เตือนรอบนี้เงินร้อน หวั่นแรงขายทำกำไร “หยวนต้า”เผย หุ้นไทยครึ่งปีแรก64ฟื้นตามเศรษฐกิจ ด้าน “เอเซีย พลัส”เน้นลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจจัดสัมมนา ส่องหุ้นไทย รับปี 2021 ในช่วงเสวนา เบญจภาคี 5 หุ้นเด็ด ได้กูรู ประเมินทิศทางเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศซึ่งเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนดัชนีตลาดหุ้นไทยปี2564

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโสนักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ กิมเก็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ MBKET กล่าวว่า ปี 2564 คาดว่ากระแสเงินทุน (Fund Flow) ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ซึ่งให้เป้าหมายดัชนี อยู่ที่ 1,600 จุด จากสัญญาณบวก 5 อย่าง นั่นคือ ข้อ1.สัญญาณตัวเลขเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว (รีบาวด์) สอดรับกับมุมมองว่าปีหน้าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี จะพลิกกลับเป็นบวก จากปีนี้ที่ตัวเลขจีดีพีติดลบ

ข้อ 2. ทิศทางวัคซีนโควิด-19 ที่ประสบความสำเร็จแล้ว และสามารถนำมาฉีดให้กับประชาชนได้จริงๆ แล้ว หลังความหวังเรื่องวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ข้อ 3.สภาพคล่องที่ดี ข้อ 4.กระแสเงินทุน สะท้อนภาพจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยราว 40,000 ล้านบาท และข้อ 5. การปรับประมาณการของนักวิเคราะห์เพิ่มขึ้น หลังเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

“ในภาพรวมปีนี้ถือว่าเศรษฐกิจแย่สุดแล้ว และไม่น่าจะต่ำกว่านี้ ดังนั้น ปีหน้าบนความคาดหวังเศรษฐกิจจะต้องฟื้นตัว ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น และคาดว่าเม็ดเงินลงทุนที่ขายหนักๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่น่าจะได้เห็นแล้ว”

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ปี 2564 คาดว่าจะเห็นกระแสเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทยชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าปี 2563 เนื่องจากให้ความสนใจลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น จากผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก คาดให้ผลตอบแทนมากกว่า 4% โดยให้เป้าดัชนีปีหน้า 1,550 จุด ซึ่งส่วนตัวตั้งธีมลงทุนในตลาดหุ้นไทย 1-2 เดือนแรกปี 2564 ว่า เป็นวัฏจักรของกระแสเงินทุนไหลเข้ามา เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนการลงทุน จากปัจจัยบวกของภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น สะท้อนผ่านตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3/2563 ที่ฟื้นตัวดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้

อย่างไรก็ตาม ดัชนีปรับตัวขึ้นมามาก 1-2 เดือนที่ผ่านมา มาจากความกลัวของนักลงทุนที่ลดลง จากเดิมที่ไม่รู้จุดต่ำสุดของวิกฤติอยู่ตรงจุดไหน แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแล้วจากการมีวัคซีนโควิด-19 ที่สามารถผลิตและออกมาฉีดได้จริงๆ ส่วนประเด็นทางการเมืองนั้นมองว่าไม่มีความรุนแรง ขณะที่นโยบายของประธานาธิบดีของสหรัฐ ก็จะเป็นตัวสนับสนุนเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นในฝั่งเอเชียน่าจะได้ประโยชน์จากเงินทุนที่ไหลออกดังกล่าว”

โดยภาพตลาดหุ้นไทยหุ้นขนาดใหญ่ฟื้นตัวเร็วมาก ซึ่งภาพแบบนี้มาจากกระแสเงินทุนไหลเข้ามาทั้งไทยและต่างชาติ โดยหากดูเม็ดเงินในไทยที่เป็นเงินฝากในระบบสถาบันการเงิน 15.5 ล้านล้านบาท ขณะที่เม็ดเงินต่างชาติตั้งแต่ปี 2556 ต่างชาติขายหุ้นไทยไปมากแล้ว

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายธุรกิจรายย่อย บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มองภาพรวมตลาดหุ้นไทย 6 เดือนข้างหน้า “หุ้นจะขึ้น” เนื่องจากภาพเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว สะท้อนจากตัวเลขจีดีพีไทยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ที่ตัวเลขประกาศออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้น ในไตรมาส 4ปี2563 คาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะต้องฟื้นตัวอย่างแน่นอน

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีหน้าอาจจะมีโอกาสเห็นดัชนี 1,562 จุด บนความคาดหวังกระแสเงินทุนจะไหลเข้าตลาดหุ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ต้องระวังการเติบโตของตัวเลขจีดีพีจะเติบโตถึงไตรมาส 2 ปี2564 หลังจากนั้นจะตัวเลขจีดีพีจะเติบโตไม่โดดเด่นแล้ว โดยครึ่งหลังปีหน้าตัวเลขจีดีพีของโลกจะกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากมีฐานต่ำมากตอนช่วงโควิด-19

แต่การลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป ไม่แนะนำซื้อหุ้นไทย เนื่องจากในสายตาต่างชาติหุ้นไทยไม่น่าสนใจในการลงทุน และมองว่าหุ้นไทยแพงไปแล้ว ซึ่งตอนนี้กระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยเป็น “เงินร้อน” เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวจริงแต่จะยังไม่ฟื้นตัวไม่เท่าจุดเดิมก่อนเกิดโควิด-19 และคาดว่าครึ่งหลังปีหน้าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะลดลง

ไม่แน่ต้นปีหน้าอาจจะมีโอกาสเห็นดัชนี 1,600 จุด เนื่องจากตัวเลขจีดีพีจะมีการเติบโตถึงไตรมาส 2ปี2564 หลังจากนั้นจะตัวเลขจีดีพีจะเติบโตไม่โดดเด่นแล้ว โดยครึ่งปีหลังปีหน้าตัวเลขจีดีพีของโลกจะกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากฐานต่ำตอนเกิดช่วงโควิด-19

‘’‘ภากร เผย5วิธีดึงบ.ข้ามชาติเข้าตลาดทุนไทย’‘’

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ ยุทธศาสตร์เดินหน้าตลาดทุนไทย 2021ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการปรับตัวไปสู่ Next Nornal ใน3 เรื่อง ประกอบ คือ 1.อนาคตในการระดมทุน แบ่งเป็น แนวทางพัฒนาธุรกิจและสนับสนุนการระดมทุนสำหรับเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ โดยมีแผนออกกระดานเทรดที่ 3 ซึ่งเบื้องต้นจะเปิดให้กับนักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุนก่อน เนื่องจากสามารถวิเคราะห์และรับความเสี่ยงจากการลงทุนดังกล่าวได้รวมถึงตลาดทุนไทยพร้อมรองรับการระดมทุนของบริษัทต่างชาติ จากปัจจุบันบริษัทต่างประเทศสามารถเข้ามาระดมทุนในตลาดทุนไทยด้วย 5 วิธี คือ การเปิดให้ บริษัท Holding Companyของบจ.ไทยเข้ามาระดมทุน , บริษัทต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนเป็นครั้งแรก, เข้ามาจดทะเบียนในตลาดรอง คือการเข้าจดทะเบียน2 ตลาด หรือ ดูโอลิสติ้ง , กองทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศและเข้ามาจดทะเบียนเป็น REIT ได้ ซึ่งตลท. ก็จะผลักดันในส่วนนี้ให้เกิดขึ้นมากขึ้น

2.ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุน โดยต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนให้มีความหลากหลายมากขึ้นและเชื่อมโยงกับตลาดต่างประเทศ เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนไทยในกรณีที่จะกระจายการลงทุนไปทั่วโลก เนื่องจาก ปัจจุบันสินทรัพย์ที่ตลท. มีอยู่ประกอบด้วยหุ้นไทย, REIT ไทย หรือพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ไทย เป็นต้น ซึ่งถือว่า มีสินทรัพย์ต่างประเทศน้อยมาก

3.การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุค New Normal เนื่องจากการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล มีความสำคัญต่อธุรกิจในอนาคต รวมถึงเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งหลังจากสถานการณ์โควิด-19 พบว่านักลงทุนได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าวมากขึ้น เนื่องด้วยการลงทุนในบริษัทที่มีคะแนน ESG สูง ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดี

“ตลาดหุ้นไทยถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP)เพราะ ตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนหลักของประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วน31%ของการระดมทุนของทั้งประเทศแต่ตลาดทุนไทย ยังมีจุดอ่อนใน 3 เรื่อง คือ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก(SMEs)เข้ามาระดมทุนไม่มาก และยังไม่ค่อยมีสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาให้นักลงทุนไทยได้ลงทุน และ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯและภาครัฐอยู่ระหว่างการดำเนินงานให้จุดอ่อนดังกล่าวลดลง”

นายภากร กล่าวว่า ตลาดทุนไทยยังมีทิศทางการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากในอดีตในทุกวิกฤติตลาดทุนไทยสามารถกลับมาฟื้นตัวได้เร็วภายใน1ปี รวมถึงหลังจากเกิดโควิด-19 ตลาดทุนไทยกลับมาฟื้นตัวต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิมเหลือไม่ถึง10% และในเดือนพ.ย. ตลาดทุนไทยฟื้นตัวถึง 21-22% ภายในเดือนเดียว

แม้ว่าการฟื้นตัวตลาดทุนไทยรอบนี้จะเป็นเฉพาะบางอุตสาหกรรม ตามเศรษฐกิจไทยที่จะยังฟื้นตัวแบบรูปตัว K ซึ่งปัจจุบัน K ขาบนฟื้นตัวแล้ว เช่น อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ กระดาษ อาหาร การบริโภคในภูมิภาค

ขณะที่ K ขาล่างจะฟื้นตัวอย่างไรนั้น มองว่า จุดแข็งของอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้ในอนาคต อยู่ที่ “ภาคบริการ” โดยเฉพาะภาคบริการ มีความเกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี อาหาร หรืออุตสาหกรรมที่สามารถปรับตัวเข้ากับยุค New normal ได้

ทั้งนี้ ปัจจุบันภาคบริการ มีสัดส่วนมากที่สุด 25%ของมูลค่าตลาดทุนไทยที่ 15.9 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา เป็นทรัพยากร ที่มีสัดส่วนมากที่สุด 30% ของมูลค่าตลาดทุนไทยเพียง 6.4 ล้านล้านบาท โดยสัดส่วนมูลค่าของตลาดทุนไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน

ขณะเดียวกัน ในอนาคตตลาดทุนไทย ยังมีโอกาสจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในตลาดเอเชียจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีกว่าฝั่งยุโรป โดยเฉพาะจีนจะเติบโตแซงสหรัฐ และยังมีประเทศอินเดีย ญี่ปุ่น และ อินโดนีเซีย จะเติบโตขึ้นมาติด1ใน5ประเทศ.