‘บีแคป’ มองหุ้นไทยน่าลงทุนอีก3-5ปี
บลจ.บีแคปประเมินหุ้นไทยยังน่าลงทุนใน 3-5 ปีข้างหน้า เน้นกลุ่มท่องเที่ยว-บริการ,อาหาร และหุ้นวัฏจักร ที่แนวโน้มโตตามศก.ฟื้น และฟันด์โฟลว์ไหลเข้าถึงกลางปี64 อีกทั้งยังชูการลงทุนทั่วโลกในธีมเทคโนโลยีและนวัตกรรม เน้นหุ้นจีนและสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเป็นหลัก พร้อมรุกหนักในตลาด กองทุนSSF-RMF
นายธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) บางกอกแคปปิตอล จำกัด หรือ BCAP เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในระยะยาว 3-5 ปี ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจลงทุน และเป็นแหล่งลงทุนที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญ เพราะธุรกิจไทยมีฐานผู้บริโภคในกลุ่มรายได้ระดับกลาง (middle-income consumers) ที่ธุรกิจมีโอกาสเติบโตขยายไปทั้งภูมิภาคอาเชียน
โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว-บริการ ที่ธุรกิจไทยมีความโดเด่นในงานด้านบริการที่ประเทศอื่นแข่งขันได้ยาก,อุตสาหกรรมอาหาร ที่มีการขยายตลาดออกไปเติบโตในอาเซียน และหุ้นวัฏจักร (Cyclical) รวมถึงหุ้น Big Cap อาทิพลังงาน และแบงก์ ฯลฯ ที่ยังมีโอกาสเติบโตกลับมาตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าที่วัคซีนน่าจะกระจายได้ในช่วงไตรมาส 2 หรือ ไตรมาส 3 ปีหน้า ดังนั้น เราจึงหาจังหวะทยอยเข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ทางด้านแนวโน้มเงินลงทุนต่างชาติ( Fund Flow ) ประเมินว่า ยังคงไหลเข้าไทยต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ และต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกปี 2564 ในช่วงที่ตลาดปรับฐานจึงเป็นโอกาสในการลงทุนหุ้นไทย ขณะที่เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐเพียงสนับสนุนเงินไหลเข้า แต่การแข็งค่าอาจไม่มากเท่าปีนี้ เพราะในระยะข้างหน้าดอลลาร์ยังน่าจะอ่อนค่า จากเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา( recover ) และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐยังน่าจะมีต่อเนื่อง
ทางด้านแนวคิดในการลงทุนเรายังให้ความสำคัญกับ Global ในธีม Mega Trend ที่หลักๆยังอยู่ใน Thematic 3 ธีม ที่ยังน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในอีก 10 ปีข้างหน้า คือ เทรนด์ที่ทำให้คนมีอายุยืนยาวขึ้น , เทรนด์ที่สามารถอำนวยความสะดวกให้คนได้มากขึ้น และเทรนด์ที่ทำให้โลกยังอยู่อย่างยั่งยืนอิงกลุ่ม ESG
ส่วนการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมยังเน้นธีมดิสรัปทีฟเทคโนโลยีในตลาดหุ้นจีนและสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเป็นหลัก เพราะหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐส่วนใหญ่ยังอยู่ใน Top 10 แต่หุ้นเทคของจีนแม้จะติด Top 10 ไม่มากเท่าสหรัฐ แต่ก็มีฐานผู้บริโภคจำนวนมากในตลาดจีน และ emerging market ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนใน Global ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10%
พร้อมกันนี้ บลจ.บีแคป รุกหนักในตลาด กองทุนSSF /RMF ที่กระจายการลงทุนไปทั่วโลก โดยปัจจุบันมีมูลค่าสินนทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) อยู่ที่ 5.16 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปี 2562 ที่ 4.01 หมื่นล้านบาท คิดเป็นการเติบโตราว25% โดยเฉพาะโพรวิเดนซ์ฟันด์ และไพรเวทฟันด์ที่เติบโตดีต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ในปีนี้ภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนดูเงียบๆ จากการที่บริษัทลดเงินนำส่งเข้าโพรวิเดนซ์ฟันด์ และมีกองทุน SSF ที่นักลงทุนต้องเริ่มทำความเข้าใจการลงทุนใหม่ โดยทั้งอุตสาหกรรมมีเม็ดเงินไหลเข้า SSF และ RMF ราว 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งปีนี้เราเน้น SSF และ RMF มากขึ้น
โดย SSF มี 5 กอง จัดพอร์ตการลงทุนเพื่อการเกษียณตามความเสี่ยง 5 ระดับ ซึ่งที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 1.52 -2.13% ส่วน RMF จะมี 3 กองบริการปรับพอร์ตการลงทุนอัตโนมัติตามอายุที่มากขึ้น โดยยังเน้นลงทุน หุ้น Global ที่น่าสนใจมากกว่าตลาดตราสารหนี้ เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น