EPG - ซื้อ
แนวโน้ม 3 กลุ่มธุรกิจเริ่มดีพร้อมๆกัน
เราประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจดังนี้
i) กลุ่มธุรกิจฉนวนความร้อน/เย็น (Aeroflex): EPG มีฐานการผลิตฉนวนยาง อยู่ที่สหรัฐฯ และมีการขยายกำลังการผลิตมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยกำลังการผลิตล่าสุดอยู่ที่ 3 หมื่นตัน/ปี หรือเพิ่มขึ้น 50% จากปี 2560/61 โดยอัตราการใช้กำลังการผลิต (U-rate) ปี 2562/63 ลดลงเหลือเพียงราว 55% เป็นผลจากเศรษฐกิจชะลอตัว จากวิกฤตโควิด-19 อย่างไรก็ดี Aeroflex สามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ไว้ได้สูงที่ราว+44% เราประเมิน U-rate ในปี 2563/64 จะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น และคาด Gross margin จะรักษาไว้ได้ที่ระดับ 43% โดย Catalyst บวกของ Aeroflex อยู่ที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ii) กลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ (Aeroklas): ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ของ EPG ถูกถ่วงจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ที่ออสเตรเลีย (TJM) ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมาทาง TJM มีการปรับโครงสร้างภายในจนสามารถที่จะพลิกฟื้นกลับมาสร้างผลการดำเนินงานให้พลิกเป็นกำไรได้แล้ว ขณะที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในไทย ยอดการผลิตเริ่มฟื้นตัวกลับสู่ระดับใกล้เคียงก่อนวิกฤตโควิด-19 เช่นกัน เราคาด U-rate เฉลี่ยของ Aeroklas จะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 27% จากเฉลี่ย 25.9% ในปี 2562/63 นอกจากนี้ Upside ของ Aeroklas อยู่ที่การย้ายฐานการผลิตของค่ายรถ เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในไทย โดยเฉพาะค่ายรถยนต์จากจีน
iii) กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (EPP): ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของ EPP เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ U-rate โดยรวมชะลอตัวลงเช่นเดียวกับ Aeoflex เนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่การบริโภคในประเทศกลับชะลอตัว ทำให้ U-rate ของกลุ่มในปี 2562/63 ชะลอตัวลงเหลือ 60% จาก 62.5% ในปี 2561/62 และ Gross margin ก็ชะลอตัวลงในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ดีคาด EPP จะรับ Sentiment บวกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงวิกฤตโควิด-19 ทำให้มีการสั่งซื้ออาหารกลับไปรับประทานที่บ้านมากขึ้น คาดจะทำให้ U-rate ของ EPP เริ่มทรงตัวในปีนี้ที่ 60% และค่อยๆฟื้นตัวได้ในอนาคต ขณะที่คาด Gross margin ในปี 2563/64 จะค่อยๆฟื้นตัวเป็น 18.5% จาก 17.5% ในปีนี้คาดกำไรเริ่มฟื้นตัวแรง ปี 2563/64 คาดโต +41% YoY เราประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานของ EPG ที่เริ่มดีขึ้นในทุกส่วนธุรกิจจะส่งผลให้กำไรปี 2563/64 โต +41% YoY โดยสมมติฐานยอดขายฟื้นตัวขึ้น +10% YoY และ Gross margin ฟื้นตัวขึ้นเป็น 30.8% จาก29.2% ในปีที่ผ่านมา
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมเท่ากับ 9.4 บาท/หุ้น
เราประเมินราคาเหมาะสม EPG ได้เท่ากับ 9.4 บาท อิงวิธี DCF โดยกำหนดสมมติฐาน WACC 8.4%, Terminal growth 3% ณ ราคาเหมาะที่เราประเมินคิดเป็นเป้าหมาย Forward PE ราว 20 เท่า (ค่าเฉลี่ย PE ในอดีตอยู่ที่ราว 23 เท่า)
ปัจจัยเสี่ยง อยู่ที่ i) ความผันผวนของราคาเม็ดพลาสติก ii) ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ และเทียบค่าเงินออสเตรเลีย iii) นโยบาย
ของรัฐบาลใหม่สหรัฐฯเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ และภาษีนิติบุคคล