ซื้อไหม? สเปรย์ดับกลิ่นปาก “กัญชง” “เดนทิสเต้” จ่อเปิดตัวปลายปี 64
ธุรกิจคึกคักขานรับ "กัญชง" หลายรายจ่อผลิตสินค้ารับกระแสคนรุ่นใหม่ เจนเนอเรชั่นวาย(Y) ที่มองเป็นความเท่ ด้านสรรพคุณสารแคนนาบินอยด์ (Cannabidiol) หรือซีบีดี ส่งผลต่อร่างกายและจิตใจผู้บริโภค "เดนทิสเต้" เล็งคลอดสเปรย์ดับกลิ่นปากปลายปี
หลังประเทศไทยปลดล็อคให้สามารถปลูกกัญชง และนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้ นับว่าสร้างความคึกคักให้กับผู้ประกอบการธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงเป็นกระแสรับคนรุ่นใหม่ เจนเนอเรชั่นวาย(Y) ที่มองกัญชงเป็นความเท่ แต่สรรพคุณของสารแคนนาบินอยด์ (Cannabidiol) หรือซีบีดี ที่มีผลต่อร่างกายและจิตใจผู้บริโภคด้วย
หนึ่งในบริษัทที่ศึกษา และเตรียมนำกัญชงไปเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ คือ เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากแบรนด์เดนทิสเต้ สกินแคร์ สมูท-อี ฯ เพราะไม่ได้ซุ่มเงียบพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ประกาศคร่าวๆในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “สเปรย์ระงับกลิ่นปาก” จากกัญชงหากกระบวนการผลิต ขออนุญาตทันอาจเห็นสินค้าภายในมิถุนายนนี้ ช้าสุดคือปลายปี
เหตุผลที่เลือกสเปรย์ระงับกลิ่นปากนำร่อง เพราะการวัดประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และสรรพคุณของกัญชงได้ชัดอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับสินค้าอื่นๆในพอร์ตโฟลิโอของบริษัท ส่วนราคาขายคาดว่าจะแพงกว่าผลิตภัณฑ์สูตรปกติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบต้นน้ำด้วยมีราคาเท่าใด แต่หากพิจารณาสินค้าในต่างประเทศที่มีส่วนผสมกัญชงค่อนข้างสูงมาก เช่น เยอรมัน หมากฝรั่งที่มีส่วนผสมกัญชงราคา 4 ยูโร หรือราว 160 บาท แต่หมากฝรั่งทั่วไปราคา 50 เซนต์หรือราว 20 บาทเท่านั้น
นอกจากสเปรย์ระงับกลิ่นปากจะขยายสู่ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก รวมถึงมองโอกาสพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณหรือสกินแคร์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วย
“ทั่วโลกมีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารซีบีดีจากกัญชง ไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน สหรัฐฯ ซึ่งถือมีการเติบโต ขณะที่บริษัทจะพัฒนาสินค้าที่มีส่วนผสมดังกล่าว เพราะเราต้องเกาะกระแสให้ทัน แต่วัฏจักรความบูมมากๆของสินค้าอาจเห็นช่วง 3 ปีแรก”
ขณะที่แนวทางการดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคหรือ FMCG ปีนี้ บริษัทยังลุยทำตลาด 3 กลุ่มสินค้า ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก “เดนทิสเต้” ที่มีจุดแข็งการเป็นยาสีฟันแปรงก่อนนอนยาวนาน 15 ปี แต่ความสำเร็จดังกล่าวกลับเป็น “กับดัก” เพราะสินค้าในพอร์ตบริษัทมีมากถึง 70 รายการ(เอสเคยู) แต่ผู้บริโภคกลับรู้จักและจดจำสูตรต้นตำรับเท่านั้น จึงออกสินค้าใหม่ “เดนทิสเต้ พรีเมียม แคร์” ยาสีฟันไม่ต้องใช้น้ำในการแปรงฟัน และรีแบรนด์สร้างการรับรู้ว่าเป็นยาสีฟันที่ใช้ในช่วงเวลาดีๆทั้งวัน และยังใช้ พรีเซนเตอร์คู่รัก ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต และ น็อต-วิศรุต รังสีสิงห์พิพัฒน์ สื่อสารถึงผู้บริโภคโดยเฉพาะเจนฯเอ็กซ์และวายเพิ่ม
“เป็นครั้งแรกที่เดนทิสเต้ ปรับรูปแบบใหม่สู่การเป็นยาสีฟัน Best Moment จากเดิมเป็นยาสีฟันก่อนนอน มีโฆษณาสร้างการรับรู้ Bed moment”
ในอนาคตยังต้องการขยายฐานเจาะคนรุ่นใหม่เจนฯวายมากขึ้น และได้เจรจาดึง “ลิซ่า แบล็คพิงค์” เป็นพรีเซนเตอร์ ส่วนจะได้ข้อสรุปอย่างไรขึ้นกับทางต้นสังกัด
สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลในช่องปากมีมูลค่า 18,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี ตลาดยังแบ่งเป็นหมวดยาาสีฟัน 12,000 ล้านบท ที่เหลือเป็นน้ำยาบ้วนปาก ไหมขัดฟันฯ โดยเดนทิสเต้ เป็นยาสีฟันระดับพรีเมียม มีส่วนแบ่งตลาดราว 5-8% จากการออกสินค้าใหม่และทำตลาดคาดว่ายอดขายจากหมวดดังกล่าวจะเติบโต 25% เพิ่มส่วนแบ่งตลาดอีก 1%
ส่วนผลิตภัณฑ์สกินแคร์สมูท-อี ยังอยู่คงลุยตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเร่งเครื่องการทำตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งออกสินค้าใหม่เพิ่มในกลุ่มวิตามินซี คอลลาเจน ฯ จากปัจจุบันมีสินค้าราว 10 รายการ
ปี 2563 การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบให้บริษัทชะลอการลงทุน แต่ปี 2564 กลับมาลทุนอีกครั้งภายใต้งบ 500 ล้านบาท แบ่งเป็น 100 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรผลิตเม็ดอม “สุกกิริ บาย เดนทิสเต้” อีก 400 ล้านบาท จะใช้เพื่อโฆษณาและทำการตลาดสินค้า
“คู่แข่งทุ่มงบโฆษณามากกว่าเราหลายเท่า ปีนี้เรากลับมาลงทุน ยังเป็นการรองรับตลาดที่จะฟื้นตัวในปีหน้า หลังโควิดคลี่คลาย เพราะหากชะลอแล้วไปลงทุนตอนตลาดฟื้นจะไม่ทันการณ์”
สำหรับตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท ปีนี้ยังคงเติบโตราว 1-2% แม้จะเกิดโรคระบาด เศรษฐกิจชะลอ ผู้บริโภคยังต้องแปรงฟัน ดูแลสุขภาพ อีกทั้งผู้บริโภคระดับบนยังมีเงินและใข้จ่ายมากขึ้น ส่วนภาพรวมยอดขายบริษัทปีนี้ตั้งเป้ากว่า 4,000 ล้านบาท จากปีก่อนยอดขายกว่า 3,000 ล้านบาท หดตัว 5%