‘เอสซีแอสเสท’ลุยแนวราบ ผุดบ้านคนโสดราคาต่ำ10ล.ดันแชร์
ในโลกต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าจนถูกเรียกว่าเป็นยุค VUCA World หรือโลกแห่งความผันผวน “เอสซี แอสเสท” พลิกกลยุทธ์ใหญ่อีกระลอก!
ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังผ่านบททดสอบปีแห่งความท้าท้าย 2563 ด้วยยอดขาย16,602 ล้านบาท จากคอนโดมิเนียม 1,848 ล้านบาท แนวราบ 14,757 ล้านบาท เติบโต 37% สวนกระแสตลาด! ดันมาร์เก็ตแชร์บ้านเดี่ยวของเอสซี แอสเสทเพิ่มขึ้นจาก 17% เป็น 26% ของบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไป ดังนั้นแผนธุรกิจปี 2564-2565 เอสเสท แอสเสท มุ่งเป้าแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 จากปัจจุบันมีส่วนแบ่ง 27% ในตลาดบ้านมูลค่ามากกว่า 20 ล้านบาท ส่วนแบ่งตลาด 16% ในตลาดบ้านมูลค่า 10-20 ล้านบาท ส่วนแบ่งตลาด 12% ในตลาดบ้านมูลค่า 5-10 ล้านบาท และส่วนแบ่งตลาด 3% ในตลาดบ้านมูลค่าต่ำกว่า 5 ล้านบาท
โดย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ “ที่ดินพร้อม” ซึ่งจัดสรรงบ 25,000 ล้านบาท ลงทุน 2 ปีนี้ โอนที่ดินกว่า 30 แปลง เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบครอบคลุมทุกระดับราคาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล “สภาพคล่องพร้อม” มีเงินสดและวงเงินพร้อมเบิกมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยระดับหนี้ลดเหลือ D/E 1.38 จาก D/E 1.58 ในปี 2562 สุดท้าย “สินค้าพร้อม” ด้วยดีไซน์ เทคโนโลยี และ บริการหลังการขายเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในยุคนิวนอร์มอล
สำหรับแบรนด์ที่ผลักดันยอดขาย “บางกอกบูเลอวาร์ด” บ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป เป็นเรือธงไดร์ฟยอดขาย พร้อมแบรนด์ใหม่ เวนิว ไอ-ดี (VENUE i-D ) จับกลุ่มคนโสด ที่ต้องการบ้านใหญ่ คนกลุ่มนี้มีงานอดิเรกหลายอย่างจึงพยายามหาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ เป็นที่มาของโครงการบ้านคนโสด! ราคา 5-10 ล้านบาท ที่จะเปิดตัวไตรมาสแรกนี้ เป็นการขยายพอร์ตสินค้าลงมาในกลุ่มราคา 5-10 ล้านบาท ประเดิม โครงการเวนิว พระราม 9
“วิธีคิดของเอสซี แอสเสท ไม่ได้คิดว่าเราต้องต่างจากคนอื่นอย่างไร แต่คิดว่าลูกค้าต้องการอะไร ลูกค้าจะเป็นคนกำหนดฟังก์ชั่น ดีไซน์ เราคิดมาเป็น ลิฟวิ่งโซลูชั่นโพรวายเดอร์ มีบริการหลังการขายที่แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ จะทำให้เกิดความแตกต่างโดยอัตโนมัติ”
ณัฐพงศ์ เชื่อว่า บ้านราคาสูงมีการตอบรับที่ดีท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวนด้วยความที่บ้านเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย เป็นเรื่องของความปลอดภัย ยิ่งภาวะตลาดขณะนี้้เงินสดเหลือเยอะ แม้หนี้เยอะ แต่ดอกเบี้ยต่ำ จึงเป็นช่วงเวลาของคนที่มองหาบ้านและมีเงินสด ซึ่งมีความต้องการอยู่ค่อนข้างมาก
“1-2 ปีนี้ตลาดบนยังไปได้ดี ขอแค่ผู้ประกอบการทำของให้ดี ให้ถึง! ลูกค้าจะมาซื้อเอง แต่ถ้ายาวไปกว่านั้นยังมองภาพได้ไม่ชัด แต่ถ้าเศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี อารมณ์การซื้อขายก็จะไม่ดี”
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรมองข้าม ปัญหาการขอสินเชื่อ! เพราะการซื้อบ้านส่วนใหญ่ต้องมีการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน กลุ่มลูกค้าที่อยู่ในระดับบนมีกำลังซื้อสูงกว่า การถูกปฏิเสธสินเชื่อมีน้อยกว่า จึงเป็นเหตุผลให้ เอสซี แอสเสท เลือกทำบ้านระดับ 5 ล้านบาทขึ้นไป
โดยปีนี้ เอสซี แอสเสท มีแผนเปิด 11 โครงการ มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท เป็นแนวราบ 8 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท แนวสูง 3 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท โปรเจค 60-70% อยู่ในครึ่งปีหลังเพราะต้องรอดูสถานการณ์ ตั้งเป้ายอดขาย 20,000 ล้านบาท รายได้ 19,000 ล้านบาท มาจากโครงการเพื่อขายทั้งหมดในปีนี้จำนวน 69 โครงการ มูลค่ารวม 57,500 ล้านบาท
ในส่วนการบริหารจัดการสต็อกคอนโดมูลค่า 8,000 ล้านบาทนั้นเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ท้าทาย ซึ่งบริษัทลูกค้า 2 กลุ่มหลักในประเทศและต่างประเทศ สินค้าของเอสซี แอสเสท อยู่ในโลเคชั่นที่ดี ฟังก์ชั่นดี ราคาเหมาะสม ที่ผ่านมามีการปรับลดราคาลงบ้างทำให้ขายได้อยู่เรื่อยๆ หากตลาดต่างชาติกลับมาในอนาคต เชื่อว่าคอนโดพร้อมอยู่ที่เหลือจะขายหมดภายใน 2 ปี
“ซัพพลายคอนโดสูงพอสมควร แต่ไม่ใช่ไม่มีดีมานด์ เพียงแต่ลดลงมาก ฉะนั้นอัตราการดูดซับจึงช้าลง คาดใช้เวลา 2-3 ปี จะกลับสูสถานการณ์ปกติ ขณะที่ซัพพลายใหม่ต้องลดความร้อนแรงลง เมื่อคนเดินทางได้กำลังซื้อจากต่างชาติจะมาซื้อคอนโดในไทยมากขึ้น คาดการณ์ปี 2566”