EPG - ซื้อ

EPG ได้สต๊อกเรซินไว้จนถึงมิ.ย. และมีแผนที่ปรับราคาขึ้นในก.ค. เรามองว่าผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นมีผลเพียงเล็กน้อย และยังมีปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาทอ่อนค่า, การเติบโตจากการขายแฟรนไชส์ TJM ในจีน, และสถานะเงินสดสุทธิ 2.9พันลบ. ในสองปีหนุนโอกาสในการทำ M&A ซื้อ ราคาเป้าหมาย DCF ที่ 12.5บาทต่อหุ้น

 

 

ราคาวัตถุดิบเพิ่มส่งผลต่ออัตรากำไรเล็กน้อย และมีแผนปรับราคาขึ้นใน 2QFY22 

เดือนที่ผ่านมาราคาเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% EPG สต๊อกวัตถุดิบเพียงพอสำหรับใช้จนถึง มิ.ย. และวางแผนที่ปรับราคาขายขึ้นในก.ค. เพื่อสะท้อนต้นทุนใหม่ โดยต้นทุนคิดเป็น 20% ของฉนวนยาง, 40% ของชิ้นส่วนรถยนต์, และ 50% ของบรรจุภัณฑ์ บริษัทใช้เวลา 30-45 วันในการปรับราคาขาย นอกจากนี้ยังสามารถส่งผ่านต้นทุนฉนวนยางและชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังลูกค้าได้ แต่อาจทำได้แค่บางส่วนสำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์เรายังคงมั่นใจว่าวัฏจักรการฟื้นตัวของ EPG เพิ่งเริ่มขึ้น และจะมีกำไรปกติ 4Q ที่แข็งแกร่งที่ 410ลบ. เทียบกับ 405ลบ. ในไตรมาสก่อนหน้า

 

ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า และการขายแฟรนไชส์ TJM ในจีน

70% ของยอดขายฉนวนยางขายในสกุลเงินดอลลาห์สหรัฐฯ 35% ของชิ้นส่วนยานยนต์ในดอลลาห์ออสเตรเลีย (AUD) จาก TJM และรายได้บรรจุภัณฑ์เกือบ 100% ในเงินบาท จากต้นไตรมาส ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 3% เมื่อเทียบกับดอลลาห์สหรัฐฯ และ 2% เทียบกับดอลลาห์ออสเตรเลีย รายได้ 40% ของกลุ่มมาจากสองสกุลเงินนี้ โดย EPG จะบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 30ลบ. ใน 4QFY21F และ EPG อยู่ระหว่างการเจรจาในการขายแฟรนไชส์ TJM ในจีนซึ่งอาจเป็นตลาดรถ 4*4 ที่ใหญ่ การเจรจาจะได้บทสรุปในอีก 12 เดือนข้างหน้า เราคาดว่า EPG จะมีสถานะเงินสดสุทธิ 1.6พันลบ. ภายในปี FY22F และ 2.9พันลบ. ภายในปี FY23F (หนี้สินสุทธิ 463ลบ. ใน 3QFY21) EPG มีกำลังการผลิตเหลือ 35-40% โดยไม่ใช้งบลงทุนขนาดใหญ่ รวมถึงยังมีช่องว่างทางการเงินในการลงทุนในที่สามารถสร้างกำไรได้ทันที และจะไม่เหมือนกรณีของ TJM ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการพลิกกลับมาเป็นกำไร

  

คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย DCF ที่ 12.5บาท ต้นทุนขึ้นกดดันระยะสั้น

การฟื้นตัวของการดำเนินงานถูกหนุนจากธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์จนถึงตอนนี้ เราเห็นอัพไซด์จากการฟื้นตัวของธุรกิจฉนวนยางในปี FY22 หลังการกระจายวัคซีนในวงกว้าง ราคาเป้าหมายของเราเทียบเท่า 24.0x FY22F PE และผลตอบแทนเงินปันผล 2.1%