สถาบันอาหารเล็งเปิดตลาด 'กัญชง' สหรัฐ-ยุโรป

ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร อนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ กล่าวภายในการสัมมนา ‘กัญชง กัญชา เปิดประตูสู่อนาคตอุตสาหกรรมอาหารไทย’ ระบุว่า สถาบันอาหารมีบทบาทต่อการพัฒนาอุตสากรรมที่สอดรับกับนโยบายของภาครัฐในการผลักดันให้ ‘กัญชง’ เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ โดยสถาบันอาหารได้สร้างความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานพืชกัญชง ทบทวนและพัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีการแปรรูปพืชกัญชง และต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น อาหาร เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอจากเส้นด้ายกัญชง ผลิตภัณฑ์คอมโพสิต และอาหารสัตว์ ยกระดับเทคโนโลยีการแปรรูป และนำทุกส่วนของพืชกัญชง มาแปรรูปเป็นสินค้ากึ่งวัตถุดิบสำหรับป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve ทั้งหมด 4 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร พลังงานและเคมีชีวภาพ การแพทย์และสุขภาพ การท่องเที่ยว

ซึ่งการบูรณาการทั้ง 4 อุตสาหกรรมเข้าด้วยกันเป็นฐานการสร้างมูลค่าเพิ่มขนาดใหญ่ของประเทศ ที่มีสัดส่วนใน GDP ถึง 21% และเกี่ยวข้องกับอาชีพและการจ้างงานของคนในประเทศมากกว่า 16.5 ล้านคน

สำหรับประเทศไทย กัญชงมีความสำคัญต่อการพัฒนายกระดับอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve ในฐานะที่เป็นพืชเศรษฐกิจที่จะมีบทบาทในการพัฒนาเป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ และปัจจุบันกฎหมายเปิดกว้างเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชงออกสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ได้หลากหลายและคล่องตัวมากขึ้น การบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากต้นกัญชงครบทุกส่วนไม่เกิดของเสีย และสร้างมูลค่าระดับสูงด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ถือเป็นความท้าทายในการพัฒนาอุตสาหกรรมกัญชงเพื่อให้ตอบสนองนโยบาย BCG Model โดยการดำเนินงานดังกล่าวจะทำให้ผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่าการผลิตตั้งแต่ระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีผลิตภาพเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10% เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจในปี 2564 ไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท เพิ่มบทบาทการเป็นผู้นำในฐานะผู้ผลิตและส่งออกสินค้ากึ่งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์จาก กัญชงที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน ภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี

ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เตรียมความพร้อมด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับพืชกัญชง โดยจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับการผลิตสินค้ากึ่งวัตถุดิบจากพืชกัญชงจำนวน 3 มาตรฐาน ได้แก่ น้ำมันเมล็ดกัญชง น้ำมันกัญชง และสารสกัด CBD จากกัญชง ซึ่งคาดว่าจะทยอยประกาศใช้ภายในปีนี้