แลนดี้ โฮม รุกเจาะเศรษฐีฝั่งธนฯ รับสร้างบ้านหรูราคา15-50ล้าน
แลนด์ดึ้ โฮม เผยหลังโควิดตลาดรับสร้างบ้านโตเหตุคนหันมาสร้างบ้านแทนซื้อคอนโด พลิกเกมรุกผุดเซลล์ แกลอรี่ แบรนด์ "แลนดี้แกรนด์"ระดับราคา15-50ล้านบาทเจาะเศรษฐีฝั่งธนฯนำร่องเหตุมีพื้นที่ขนาดใหญ่รองรับ ราคาที่ดินไม่แพง ตั้งเป้าสิ้นปียอดขาย2,400ล้านบาท
นางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หลังจากโควิด-19 ตลาดรับสร้างบ้านในปีนี้เติบโต5% จากปี2563 หรือคิดเป็นมูลค่า 12,500 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคใส่ใจเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย สุขอนามัยในการใช้ชีวิตมากขึ้นทำให้คนหันมาสนใจสร้างบ้านเพิ่มขึ้นแทนที่จะซื้อคอนโดเหมือนสมัยก่อน เพราะต้องใช้ส่วนกลางร่วมกัน รวมทั้งบ้านยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานที่บ้าน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้ออย่างเจ้าของธุรกิจที่มีรายได้ระดับ1,000ล้านบาท ผู้บริหารระดับประธานกรรรมการ (ซีอีโอ) ดารา เซเลบ
ทางบริษัทจึงหันมาให้ความสำคัญกับการทำตลาดแบรนด์ "แลนดี้แกรนด์" ที่มีระดับราคา15ล้านบาทขึ้นไป โดยลงทุน 20 ล้านบาทเปิดเซลล์ แกลอรี่ของ "แลนดี้ แกรนด์" แฟล็กชิพ สโตร์แห่งแรกเพื่อให้บริการกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์แบบครบวงจร ซึ่งเป็นกลุ่มนิชมาร์เก็ตที่มีกำลังซื้อและความต้องการบ้านหรูในราคาคุ้มค่า ประกอบกับความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของบริษัทแลนดี้ โฮม ที่รับสร้างบ้านมานาน 33ปี ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้บริการของลูกค้าในการตัดสินใจเลือกบริษัทมากกว่าผู้รับเหมารายย่อย
" ส่วนเหตุผลที่เจาะกลุ่มตลาดไฮเอนด์ย่านฝั่งธนฯ เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นฐานลูกค้าระดับB+ถึงA มีพื้นที่ขนาดใหญ่รองรับเพราะราคาที่ดินไม่แพงประกอบกับการเดินทางสะดวกเชื่อมสู่ย่านเศรษฐกิจ (ซีบีดี)สะดวก เพราะสามารถเชื่อมโยงสู่ถนนหลักได้หลายสาย เช่น จรัญ 13 (บางแวก), พรานนก-พุทธมณฑล , เพชรเกษม, บรมราชชนนี ได้อีกด้วย ซึ่งจากฐานข้อมูลของบริษัทพบว่าลูกค้ามีความต้องการปลูกสร้างบ้านในย่านฝั่งธน พอๆ กับฝั่งกรุงเทพฯ "
นางสาวพรรัตน์ ระบุว่า ปัจจุบันบริษัทสามารถรองรับการบริการรับสร้างบ้านในทุกระดับราคา ตั้งแต่บ้านหลังเล็ก ระดับราคา 2-5 ล้านบาทแบรนด์ เทรนดี้ โฮม , บ้านขนาดกลาง ราคา 5 -15 ล้านบาท แบรนด์ แลนดี้ โฮมแลนด์ และ บ้านขนาดใหญ่ ราคา 15 ล้านบาทขึ้นไปแบรนด์ แลนดี้แกรนด์ คาดว่าในปีนี้ บริษัทจะเติบโต 15%หรือคิดเป็นมูลค่า 2,400 ล้านบาท
สำหรับลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่จะเป็นอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ–ปริมณฑล คิดเป็นสัดส่วน 80% และต่างจังหวัด 20% แบ่งเป็นกลุ่มที่ทุบบ้านเก่าและสร้างหลังใหม่บนที่ดินแปลงเดิม 50:50 โดยในปี2563 ที่ผ่านมา สัดส่วนบ้านราคา 2-5 ล้านบาท อยู่ที่45% บ้านขนาดกลางราคา 5 –15ล้านบาทอยู่ที่30% และบ้านระดับลักชัวรี่ ตั้งแต่ราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนอยู่ 25% ซึ่งกลุ่มนี้มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 16% สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของลูกค้าและโอกาสในการทำตลาด ดังนั้นในปีนี้จึงหันมาให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด
ขณะเดียวในกลุ่มตลาดรับสร้างระดับราคา 2-5 ล้านบาท การแข่งขันราคารุนแรง เพราะเป็นตลาดแมส บริษัทจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยภายในบ้านให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้ลูกค้าได้บ้านที่มีมาตรฐาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในราคาที่จับต้องได้ อาทิ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด CAP+ (แค็พพลัส) ระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้าน ช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 เป็นต้นและในปีนี้จะมีการเพิ่มฟังก์ชั่นสมาร์ทโฮมเข้าไปเสริม เพื่อรองรับพฤติกรรมลูกค้ารุ่นใหม่รวมถึงการให้ดูแลผู้สูงอายุภายในบ้าน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแทนที่จะใช้กลยุทธ์ราคา เหมือนกับคู่แข่ง