ซีคอนหนีสงครามราคาเจาะเจนวาย รับสร้างบ้าน-อาคารโลว์ไรส์
“ซีคอน” ผุดแบรนด์ “ซีคอน ไอดี” หนีสงครามราคาตลาดรับสร้างบ้าน-อาคารโลว์ไรส์แบบเทเลอร์เมดหวังขยายฐานลูกค้าเจนวาย สลัดคราบแบรนด์เก๋าครั้งแรกในรอบ 60 ปี ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1,700 ล้านบาท
นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่หรือเจนวาย อายุ 25-30 กว่าปี ต้องการบ้านที่ดีไซน์สะท้อนความเป็นตัวตนมากขึ้น สังเกตได้จากกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการประมาณ 20% ต้องการแบบบ้านสำเร็จรูปที่มีอยู่ ดังนั้นซีคอน จึงได้แตกบริษัท ซีคอน ไอดี (Seacon ID) เพื่อออกแบบและรับสร้างบ้าน โฮม ออฟฟิศ อพาร์ทเม้นท์ให้ได้ทุกรูปแบบที่ลูกค้าต้องการ รวมถึงการทำอาคารโลว์ไรส์ให้กับดีเวลลอปเปอร์รายเล็ก เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพและความน่าเชื่อถือแทนที่จะเลือกใช้บริการผู้รับเหมา
“กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเจนวาย มีกำลังซื้อสูง เพราะแบบบ้านส่วนใหญ่จะมีขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 600 ตร.ม. ราคาเฉลี่ยตร.มละ 1.7-2.5 หมื่นบาท ราคาเบื้องต้น 10 ล้านบาทขึ้นไปแต่ถ้าเทียบกับบ้านสำเร็จรูปของซีคอนจะถูกกว่าเพราะมีขนาดใหญ่ และถือเป็นตลาดบลูโอเชียน ซึ่งยังไม่มีคู่แข่ง เนื่องจากส่วนใหญ่ตลาดนี้ลูกค้าจะใช้บริการผู้รับเหมารายย่อย แต่มีมูลค่าสูงถึงแสนล้านบาท ซึ่งลูกค้ามักมีปัญหาถูกผู้รับเหมาทิ้งงานจึงเป็นช่องว่าในการเข้าไปทำตลาด"
โดยคาดว่าปีนี้จะทำรายได้ 200 ล้านบาท เป็นลูกค้าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 60% ต่างจังหวัด 40% อยู่ระหว่างการเจรจา 30 ราย โดยอยู่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 20 ราย และมั่นใจว่าในอนาคตแบรนด์นี้จะเป็นตัวช่วยสร้างรายได้ให้กับซีคอนเติบโตแบบก้าวกระโดด จากจุดแข็งที่สร้างขึ้นมา รวมกับความน่าเชื่อถือของแบรนด์ซีคอนที่มีมา 60 ปี
นายมนู กล่าว่า ตลาดรับสร้างบ้านปีนี้ คาดโต 5% มูลค่า 12,500 ล้านบาท ส่วนใหญ่เติบโตจากกลุ่มบ้านระดับ 5-20 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เหมือนกับกลุ่มบ้านราคา 2-4 ล้านบาท ที่ตลาดหดตัว 30% โดยช่วงล็อกดาวน์หายไปถึง 50%
ส่วนยอดจองของซีคอนในแต่ละเซ็กเมนต์เปลี่ยนไป โดยสัดส่วนบ้านขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเป็น 60% จากเดิม 30% บ้านขนาดกลางลดลงจาก 40% เหลือ 30% และบ้านขนาดเล็กลดลงจาก 30% เหลือ10% ดังนั้นแนวทางการทำตลาดเน้นการทำตลาดบ้านขนาดใหญ่มากขึ้น โดยไม่เน้นกลยุทธ์ราคาในเซกเมนต์ที่มีการแข่งขันที่รุนแรงอย่างตลาด 2-4 ล้านบาท
“ ปีนี้จะโฟกัสตลาดระดับราคา 5-20 ล้านบาท ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นเพราะเติบโตดี จากปี 2562 ยอดขายกลุ่มออนไลน์่ 200 ล้านบาท ปีที่แล้ว 300 ล้านบาท ส่วนปีนี้คาด 500 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 1,700 ล้านบาท”