



เมื่อ 'ข้อจำกัด' การฟื้นตัวของหุ้น 6 โรงแรม 4 สายการบิน กำลังทยอย 'ถูกกำจัด' บ่งชี้ผ่านทั่วโลกแจกจายกระจายฉีดวัคซีนโควิด-19 ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเดินได้เฉกเช่นเดิม 'บิ๊กเอกชน' ขานรับผลบวก เร่งปัดฝุ่นธุรกิจรอบใหม่ รอเปิดประเทศอีกครั้ง !
พลันที !! ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อนุมัติเปิดรับนักท่องเที่ยว 'ต่างชาติฉีดวัคซีนโควิด-19' แล้ว โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบตามที่ประชุม ศบศ. เสนอแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของจังหวัดภูเก็ต ตามข้อเสนอของ ททท. พร้อมกับกางโรดแมปเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนแล้ว
โดยในเดือนเม.ย. 2564 เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดรับชาวต่างชาติใน 6 จังหวัด ในพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก ภูเก็ต กระบี่ พังงา เกาะสมุย ชลบุรี (พัทยา) และเชียงใหม่ ซึ่งกักตัวในโรงแรมเป็นเวลา 7 วัน
ขณะที่ นักท่องเที่ยวไม่ต้องกักตัวในวันที่ 1 ก.ค. 2564 (เร็วกว่ากำหนดการเดิม 1 ต.ค. 2563 ราว 3 เดือน)
ปฏิกิริยาแรก ที่ขานรับข่าวดังกล่าวคือ 'กลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรมและสายการบิน' ที่เฝ้ารอความหวังเมืองไทยพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวมาเยือนอีกครั้ง !! หลังปิดประเทศนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อปี 2563
สอดคล้องกับ 'ทอม-ไพบูลย์ นลินทรางกูร' ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) บอกว่า ภายหลังการหารือกับ 'อนุทิน ชาญวีรกูล' รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในเรื่องของการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนนั้น ในมุมมองส่วนตัวคาดว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง
เนื่องจากภาครัฐมีความชัดเจนเรื่องแผนการจัดหาวัคซีนให้ทุกคนภายในประเทศ ระยะเวลาการฉีด และความคืบหน้าในการเปิดแหล่งท่องเที่ยว อาทิ จังหวัดภูเก็ต และ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวได้รวดเร็วขึ้น รวมถึงไม่ปิดกั้นการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ของภาคเอกชนอีกด้วย
หากพิจารณาจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและสายการบิน อย่าง 'หุ้น 6 ธุรกิจโรงแรม 4 สายการบิน' เช่น บมจ. แอสเสท เวิรด์ คอร์ป หรือ AWC , บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT , บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป หรือ ERW , บมจ. เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท หรือ SHR , บมจ. ดุสิตธานี หรือ DTC , บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL
หากดูตัวเลขผลประกอบการปี 2563 ของ 6 หุ้นโรงแรม พบว่า พลิกขาดทุนสุทธิ โดย หุ้น AWC ขาดทุนสุทธิ 1,881.63 ล้านบาท มีรายได้ 6,136.42 ล้านบาท หุ้น MINT ขาดทุนสุทธิ 21,407.34 ล้านบาท มีรายได้ 58,695.64 ล้านบาท หุ้น ERW ขาดทุนสุทธิ 1,715.26 ล้านบาท มีรายได้ 2,348.46 ล้านบาท หุ้น SHR ขาดทุนสุทธิ 2,370.67 ล้านบาท มีรายได้ 2,215.68 ล้านบาท หุ้น DTC ขาดทุนสุทธิ 1,011.14 ล้านบาท มีรายได้ 3,320.20 ล้านบาท และ หุ้น CENTEL มีขาดทุนสุทธิ 2,775.11 ล้านบาท มีรายได้ 13,279.62 ล้านบาท
ขณะที่ หุ้น 4 สายการบิน เช่น บมจ.การบินกรุงเทพ หรือ BA บมจ.การบินไทย หรือ THAI บมจ.สายการบินนกแอร์ หรือ NOK และ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น หรือ AAV
หากดูตัวเลขผลประกอบการปี 2563 ของ 4 หุ้นสายการบิน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) พบว่า มีผลการดำเนินงาน 'ย่ำแย่' ขาดทุนสุทธิทุกราย โดย หุ้น THAI มีขาดทุนสุทธิ 141,170.74 ล้านบาท โดยมีรายได้ 48,636.86 ล้านบาท หุ้น BA ขาดทุนสุทธิ 5,283.18 ล้านบาท โดยมีรายได้ 10,804.05 ล้านบาท หุ้น AAV มีขาดทุนสุทธิ 4,764.09 ล้านบาท โดยมีรายได้ 16,260.96 ล้านบาท และ หุ้น NOK รายงานตัวเลขล่าสุดไตรมาส 3 ปี 2563 มีขาดทุนสุทธิ 3,935.96 ล้านบาท โดยมีรายได้ 4,827.74 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการปี 2563 บริษัทขอเลื่อนส่งงบออกไปก่อน
ฟากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบี เอสที บอกว่า กรณีที่รัฐเริ่มส่งสัญญาณการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว โดยจะเริ่มจากจังหวัดภูเก็ตเป็นแห่งแรก ถือเป็นการส่งผลดีเชิงจิตวิทยาการลงทุน เนื่องจากการเปิดประเทศในช่วงเดือน ก.ค.นี้ ยังไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งยังต้องติดตามกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศอีกครั้ง ว่าจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงนั้นจะเป็นอย่างไรประกอบกันด้วย
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไอร่า บอกว่า ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วงเริ่มต้นของการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทย คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศรายได้หลักยังไม่สามารถเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยในระดับปกติ เหมือนช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563 เนื่องจากรัฐบาลจีนมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเข้มงวด ส่งผลให้ประชาชนชาวจีน ที่ต้องการเดินทางออกนอกประเทศยังคงลดลง และทำได้ยากขึ้น แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
สอดคล้องกับ 'รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์' รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL เล่าให้ฟังว่า จากความคืบหน้าของการทยอยฉีดวัคซีนของประเทศต่างๆ ซึ่งจะส่งผลทำให้ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น และส่งผลดีต่อธุรกิจภาคการท่องเที่ยวและบริษัท สอดคล้องกับความมั่นใจรายได้ปี 2564 กลับมาเติบโตจากปีก่อนแน่นอน
โดยบริษัทคาดในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 จำนวนนักท่องเที่ยวภายในประเทศจะเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น และในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศกลับเข้ามาโดยเริ่มจากนักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนก่อน และตามมาด้วยนักท่องเที่ยวจากยุโรปในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 ประกอบกับบริษัทจะมีการพยายามปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้ลดลงอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ธุรกิจโรงแรมปีนี้บริษัทตั้งเป้าอัตราการการเข้าพัก (Occupancy rate) ที่ระดับ 35-40% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เฉลี่ย 21% และมีรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPar) ปรับเพิ่มขึ้น 30-40% จากปีก่อน ด้านธุรกิจอาหารคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (SSS) ประมาณ 13-15% จากปีก่อน และอัตราการเติบโตของยอดขายรวมทุกสาขา (TSS) ประมาณ 18-20% รวมถึงมีแผนจะเปิดร้านอาหารใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 100-120 สาขา อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์กำลังซื้อในประเทศปรับตัวดีขึ้นก็อาจมีการเปิดสาขาใหม่ที่มากว่าแผนได้
ขณะที่งบการลงทุนปีนี้เตรียมไว้ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนที่ 3,400 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการใช้ลงทุนในการขยายธุรกิจโรงแรมประมาณ 1,900 ล้านบาท ได้แก่ โครงการที่จะเปิดใหม่ในปีนี้ เช่น โรงแรมในดูไบ ,โอซากา และโครงการเซนทารา รีเซิร์ฟ ขณะที่ใช้เงินลงทุนสำหรับขยายธุรกิจอาหารราว 1,100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการเปิดสาขาใหม่และซื้อกิจการ (M&A)
ส่วนแผนการซื้อกิจการ (M&A) นั้น ยอมรับว่าปัจจุบันกำลังเจรจากันอยู่หลายดีล โดยในส่วนของธุรกิจอาหารหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนการซื้อกิจการจำนวน 1 ดีลภายในช่วงเดือนเม.ย.นี้ ส่วนของธุรกิจโรงแรมอยู่ระหว่างการเจรจาอยู่หลายแห่ง ซึ่งบริษัทก็ต้องรอดูสถานการณ์และคัดเลือกโครงการที่จะได้ผลตอบแทนที่ดี
'ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์' ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจผลประกอบการปี 64 จะฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปีก่อนอย่างแน่นอน เนื่องจากคาดว่าการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจะกลับมาชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังโดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่คาดจะเริ่มทยอยกลับมาหากเปิดให้มีการเดินทางตามปกติ
อย่างไรก็ตาม ยอมรับผลงานปีนี้อาจยังไม่กลับไปเท่ากับปี 2562 เพราะยังมีความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในระยะสั้นและระยะกลาง ซึ่งต้องใช้เวลากว่าจะฟื้นตัวชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง
สำหรับธุรกิจอาหารคาดว่าปีนี้จะสามารถสร้างกำไรให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากเริ่มกลับมามีกำไรตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3-4 ของปีก่อน ในส่วนธุรกิจโรงแรมน่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อนเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมในยุโรปที่ปีก่อนได้รับผลกระทบหนักที่สุด แต่ปัจจุบันเริ่มมีการฉีดวัคซีนของหลายประเทศและเริ่มมีการเปิดให้คนท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศแถบยุโรปมากขึ้น
ขณะที่แผนธุรกิจปีนี้บริษัทยังเตรียมความพร้อมรองรับกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในระยะสั้น และให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพคล่อง รวมถึงลดกระแสเงินสดจ่าย พร้อมยืนยันว่าสภาพคล่องของบริษัทในปัจจุบันเพียงพอสำหรับการผ่านพ้นวิกฤติในรอบนี้ หลังมีกระแสเงินสดอยู่กว่า 2.5 หมื่นล้านบาท และมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินอีก 2.8 หมื่นล้านบาท รวมถึงยังมีเงินที่จะได้จากการใช้แปลงวอร์แรนต์ของผู้ถือหุ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าอีกราว 1 หมื่นล้านบาท
ส่วนความคืบหน้าการขายสินทรัพย์ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขายสินทรัพย์ประเภทโรงแรมในยุโรปจำนวน 4-5 แห่ง มูลค่ารวมประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาท และอาจมีบางแห่งที่บริษัทจะเข้าไปเช่ากลับเพื่อดำเนินการธุรกิจต่อหรือบางแห่งอาจใช้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทต่อไป โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในช่วงไตรมาส 2-3 ปีนี้