'โออาร์' เดินหน้าลงทุนแผน 5 ปี วงเงิน 7.4 หมื่นล้านบาท เร่งขยายงานค้าปลีก
โออาร์ แจงผู้ถือหุ้นลุยลงทุน 5 ปี วงเงิน7.4หมื่นล้านบาท เร่งเครื่องค้าปลีกและธุรกิจต่างประเทศ แจงยึดนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ เตรียมเปิดศูนย์กระจายสินค้าคาเฟ่อเมซอนและผลิตภัณฑ์หล่อลื่นกลางปีนี้
นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) หรือ OR เปิดเผยในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2564 ของบริษัท วานนี้(7เม.ย.) ว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นฯ รับทราบการจ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงานช่วงไตรมาส 4 ของปี 2563 ที่อัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น รวมเป็นจำนวนหุ้นทั้งหมด 12,000 ล้านหุ้น เป็นวงเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลจ่าย 41.1% ของกำไรสุทธิ โดยมีกำหนดจ่ายในวันที่ 28 เม.ย.นี้ ซึ่งอัตราดังกล่าว ถือเป็นอัตราใกล้เคียงกับการพิจารณาจ่ายเงินปันผลในอุตสาหกรรมเดียวกันและเป็นอัตราที่เหมาะสม เพราะเป็นการจ่ายจากผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาสเดียวของปี 2564 คือ ไตรมาสที่ 4 และเป็นไปตามนโยบายของบริษัท ที่กำหนดจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 30%ของกำไรสุทธิ
อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าการจ่ายเงินปันผลในกลุ่มปตท.ที่ผ่านมาจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าเป้าหมายการจ่ายเงินปันผลที่กำหนดไว้ และOR ก็เป็นบริษัทในกลุ่มปตท.ที่ยึดหลักการเดียวกัน ดังนั้น การพิจารณาจ่ายเงินปันผลการดำเนินงานในปี 2564 จะเป็นการพิจารณาจ่ายจากการดำเนินงานทั้งปี ซึ่งจะสูงกว่า 30% ของกำไรสุทธิที่กำหนดไว้
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของOR ตามแผน 5 ปี(ปี2564-2568) บริษัท มีแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ 74,000 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจน้ำมัน 35% ธุรกิจค้าปลีก (Non-Oil)30% ธุรกิจต่างประเทศ 13% และที่เหลือ เป็นธุรกิจ New S-Curve ที่จะมุ่งไปใน 2 ด้านหลัก คือธุรกิจไลฟ์สไตล์ และธุรกิจMOBILITY เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท ซึ่งจะเห็นว่าภาพรวมธุรกิจในอนาคตจะมุ่งไปที่ขยายการลงทุนในธุรกิจค้าปลีก (Non-Oil) และธุรกิจต่างประเทศ มากขึ้น
โดยในปี 2564 บริษัท มีแผนจะขยายสาขาร้านคาเฟ่อเมซอน เพิ่มขึ้น 400 แห่ง สถานีบริการน้ำมัน เพิ่มขึ้น 110 แห่ง ร้าน Texas Chicken เพิ่มขึ้น 20 แห่ง พร้อมขยายสาขาฟิตออโตเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางปีนี้ บริษัท เตรียมเปิดศูนย์กระจายสินค้าคาเฟ่อเมซอน ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆและหุ่นยนต์เข้ามาช่วยจัดสรรการกระจายสินค้าให้รวดเร็วและทั่วถึง รวมถึงจะมีการเปิดศูนย์กระจายสินค้าผลิตภัณฑ์หล่อลื่นด้วย
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ รับทราบผลการดำเนินงานในรอบปี 2563 ของบริษัท โดยมีรายได้ 428,804 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 8,791 ล้านบาท ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท ทำให้ปริมาณการขายน้ำมันลดลง 12% ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของน้ำมันเครื่องบิน(Jet) ส่วนธุรกิจค้าปลีก ได้รับผลกระทบเล็กน้อย ซึ่งผลกระทบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเม.ย.2563 ที่ประเทศมีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ โดยปัจจุบัน ยอดขายน้ำมันเริ่มฟื้นตัว แต่ยังผลกระทบต่อน้ำมันเครื่องบินระหว่างประเทศเท่านั้น ขณะที่ธุรกิจค้าปลีก บริษัทได้นำเรื่องของเดลิเวอรี่เข้ามาเสริมการขายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา บริษัทได้ปรับพอร์ตธุรกิจ รองรับยอดขายน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลงในอนาคตโดยหันไปขยายการลงทุนในธุรกิจค้าปลีก (Non-Oil) และธุรกิจต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรที่มากขึ้นในอนาคต และพยายามเพิ่มสัดส่วนผู้ใช้บริการในปั๊มน้ำมันที่ไม่ใช่มาเติมน้ำมันให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Oil
โดยปี 2563 บริษัท มีสัดส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ของธุรกิจรีเทล ในส่วนของธุรกิจน้ำมัน อยู่ที่ 69% ธุรกิจ Non-Oil อยู่ที่ 26% ซึ่งธุรกิจ Non-Oil จะสร้างมาร์จิ้นที่ดีกว่าธุรกิจน้ำมัน โดยเฉพาะอเมซอนและร้านสะดวกซื้อ ขณะที่ร้าน Texas Chicken กำลังตามมา และคาดว่าสิ้นปีนี้ หรือต้นปีหน้าจะเห็นกำไรที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯยังเห็นชอบกรรมการต่ออีกวาระหนึ่ง จำนวน 4 ราย ได้แก่ นางสาวดวงกมล ชาติประเสริฐ ,นายสุพัฒน์ เมธีวรพจน์ ,นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข และนายกฤษณ์ อิ่มแสง