‘โตโยต้า’ ติดสินบนผู้พิพากษาไทย จริงหรือไม่?
ไขประเด็น "โตโยต้า" กรณีที่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป สำนักงานใหญ่ พาดพิงถึงบริษัทโตโยต้า (ประเทศไทย) ให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐไทยเพื่อให้ชนะคดีที่ทางการประเทศไทยเรียกเก็บจากการนำเข้ารถโตโยต้าพรีอุส สรุปแล้วข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?
เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวฮือฮาจากสำนักข่าวเศรษฐกิจและการเมืองที่สำคัญๆ ระดับโลก ว่าบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป สำนักงานใหญ่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้แจ้งในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ว่าบริษัทได้รายงานต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) และกระทรวงยุติธรรม (DOJ) ของสหรัฐ พาดพิงถึงบริษัทโตโยต้า (ประเทศไทย) ว่ามีความเป็นไปได้ที่บริษัทสาขาในประเทศไทย จะละเมิดกฎหมายต่อต้านการให้สินบนของสหรัฐ (Foreign Corrupt Practices Act หรือ FCPA)
โดยการให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐไทยนั้นอาจรวมถึงผู้พิพากษาศาลฎีกา เพื่อให้ชนะคดีหรือกลับคำตัดสินกรณีภาษีประมาณ 350 ล้านดอลลาร์ ที่ทางการประเทศไทยเรียกเก็บจากการนำเข้ารถโตโยต้าพรีอุส (Prius) ซึ่งเป็นรถไฮบริดที่ใช้ทั้งน้ำมันสลับกับไฟฟ้า
ข่าวนี้ทำให้มีข้อสงสัยและข้อสังเกตหลายประการ
- “ข่าว” กับ “ข้อเท็จจริง”
ต้นตอของข่าวทั้งหมดคือเว็บไซต์ชื่อ Law360 โดยนาย Frank G. Runyeon เป็นผู้เขียน หากอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษแล้ว สำนวนจะแตกต่างจากข่าวภาษาไทยที่แปลมาโดยสิ้นเชิง เว็บไซต์นั้นระบุว่าบริษัทโตโยต้าได้ว่าจ้างสำนักงานทนายความ Wilmer Hale เพื่อหาข้อเท็จจริงว่า สำนักกฎหมายไทย 8 แห่งที่บริษัทได้จ้างเพื่อต่อสู้คดีภาษีในศาลและได้จ่ายเงินให้คนไทย 12 คนนั้น เป็นการจ่ายในลักษณะที่ละเมิดกฎหมาย FCPA หรือ U.K. Bribery Act ของอังกฤษหรือไม่ และมีความกังวลว่า “เงินดังกล่าวได้ไปถึงมือผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้พิพากษา ที่ปรึกษา หรือบุคลากรอื่นๆ ของศาลหรือไม่ เพื่อให้ส่งผลต่อรูปคดีอันเป็นประโยชน์ต่อบริษัท
(“payments to outside law firms or consultants that may have been passed to or shared with Thai judges, court advisers or others in an effort to secure a favorable outcome in the Prius tax case”) เอกสารว่าจ้างการตรวจสอบนี้ ลงวันที่ 30 ก.ย.2562 โดยผู้ตรวจสอบได้ขุดคุ้ยเอกสารจำนวนเป็นล้านๆ ฉบับนับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา
ข้อเขียนทั้งหมดสองหน้ากว่าๆ ของนาย Runyeon เขียนอย่างระมัดระวังว่า บริษัทมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจมีการจ่ายเงินอย่างไม่ถูกต้อง ไม่มีข้อความตอนใดที่บอกว่ามีผู้พิพากษาศาลฎีกาไทยรับสินบน มีเพียงการแสวงหาข้อเท็จจริง ตรวจสอบว่าคนที่บริษัทจ้างทำคดีนั้นมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งในปัจจุบันและในอดีตที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงรูปคดีหรือไม่ อนึ่ง ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องคือ สำนักงานทนายความ Wilmer Hale ตลอดจนหน่วยงาน SEC และ DOJ ต่างก็ปฏิเสธที่จะออกความเห็น หรือตอบข้อซักถามของนาย Runyeon ว่ามีหลักฐานใดๆ หรือไม่
การออกข่าวลักษณะนี้ เป็นสิ่งที่ขัดกับหลักความยุติธรรมสากลที่ว่าบุคคลย่อมถือว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ความผิด ทั้งนี้ หากมีความเคลือบแคลงสงสัยในบุคคลซึ่งอยู่ในกระบวนการยุติธรรม คือผู้พิพากษาหรืออัยการ บุคคลเหล่านี้ย่อมมีความด่างพร้อย ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการรื้อฟื้นคดีหรือคัดค้านคำตัดสินในคดีอื่นๆ ที่ผ่านมาได้ ขณะนี้ศาลฎีกายังไม่ได้พิจารณาพิพากษาคดี แต่ถ้าเปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจนเท่าที่จะทำได้ ก็จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นของสาธารณชนกลับมาได้บ้าง
- เราต้องดูข้อมูลอะไร?
ข้อเท็จจริงที่ประเทศไทยจำเป็นต้องแสดงเพื่อให้เกิดความกระจ่างเป็นการด่วน คือข้อมูลเกี่ยวกับอัตราภาษีที่เรียกเก็บทั้งโดยกรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตสำหรับรถโตโยต้า Prius อัตรานี้มีความยุ่งยากหรือไม่ “ดิ้น” ได้หรือไม่ พิกัดชัดเจนหรือไม่ มีประเด็นที่โต้แย้งได้หรือไม่ เกี่ยวพันกับความตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันกับประเทศไทยในรายละเอียดอย่างไร มีความคลุมเครือหรือไม่ที่อาจเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้น (คือศาลภาษีอากรกลาง) และศาลอุทธรณ์ (คือศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ) มีความเห็นแย้งกันได้ จนทำให้บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ยื่นเรื่องต่อศาลฎีกา
เมื่อมีการเท้าความกลับไปถึงปี 2555 ก็ต้องย้อนดูประวัติการนำเข้าของรถรุ่นนี้ด้วย รถ Prius เป็นรถไฮบริดที่คนทันสมัยที่รักษ์โลกรักษ์สิ่งแวดล้อมจะนิยม แต่เดิมกล่าวกันตรงๆ มีการซื้อขายกันในตลาดสีเทา บริษัทโตโยต้าได้เคยนำเข้ามาในลักษณะ CBU หรือ completely built up ซึ่งเสียภาษีสูง แต่ก็มีตลาดเล็กๆ ที่ยอมจ่ายในราคาสูงเนื่องจากการนำเข้าโดยบริษัทโตโยต้าเองทำให้มี Warranty ซึ่งในตลาดสีเทาไม่สามารถให้บริการในส่วนนี้ได้
ต่อมา เมื่อตลาดขยายกว้างขึ้นเพราะบริษัทแท็กซี่เริ่มใช้ มีออเดอร์ทีละ 500-1,000 คัน บริษัทโตโยต้าจึงเริ่มนำเข้าชิ้นส่วนแบบ CKD หรือ completely knocked down เพื่อมาประกอบในประเทศไทย เมื่อประกอบเสร็จพร้อมขายก็ต้องเสียภาษีสรรพสามิต ปัจจุบันยังมีทั้ง CBU และ CKD เพราะ CKD นั้นภาษีศุลกากรและค่าธรรมเนียมต่ำมากจนไม่น่าจะเป็นประเด็น จะเห็นได้ว่ามีภาษีสำคัญอยู่สองตัว คือภาษีศุลกากรในการนำเข้าและภาษีสรรพสามิต
ขณะที่เขียนนี้ยังไม่เห็นข้อมูลรายละเอียดสำคัญ คือพิกัดอัตราภาษีที่บริษัทโตโยต้าถูกเรียกเก็บ ภาษีศุลกากรนั้นน่าจะมีความชัดเจนในระดับหนึ่ง การใช้ดุลยพินิจน่าจะมีน้อย แต่ในส่วนของภาษีสรรพสามิตนั้น มีความสลับซับซ้อนกว่าเนื่องจากเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา อัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์จะถูกกำหนดโดยปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ อัตราการปล่อยคาร์บอน (carbon emission)
อัตราภาษีสรรพสามิตจะเรียกเก็บเท่าไร จะต้องมีผลการทดสอบเรื่องการปล่อยคาร์บอน ซึ่งจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการสลับกันระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิงกับไฟฟ้า และขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ว่ารองรับการใช้งานได้นานเท่าใด กี่กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง การพ่นพิษทดสอบอย่างไร ด้วย cycle ที่วิ่งจริงหรือไม่และวิ่งนานเท่าใด เพราะบางช่วงอาจจะไม่ใช้ไฟฟ้าเลยก็ได้ คงต้องขอข้อมูลเรื่องสูตรที่ถือปฏิบัติ ว่าเป็นสิ่งที่สามารถโต้แย้งได้หรือไม่ อันเป็นเหตุให้มีการวิ่งเต้นเพื่อพลิกคำพิพากษา
มีแรงจูงใจหรือไม่ ที่บริษัทโตโยต้าจะพยายามทำให้ค่าการปล่อยคาร์บอนนี้ออกมาต่ำที่สุด เมื่อวิธีการทดสอบอาจได้ผลต่างกันมาก ระหว่างการเก็บภาษี 0-40% แล้วแต่วิธีการทดสอบ คำถามคือ มีมาตรฐานการทดสอบอย่างไร 40% นี้คือนอกเหนือจากภาษีศุลกากรและค่าธรรมเนียม ซึ่งอาจเป็นเงินจำนวน 3-4 แสนบาทต่อคัน สำหรับรถจำนวน 1,000 คัน ก็เป็นเงินไม่น้อย ฉะนั้น ก็มีแรงจูงใจแน่นอน
เราคงจะต้องหาข้อมูลเหล่านี้ให้ชัดเจน คือเกณฑ์การพิจารณาคำนวณภาษีเป็นอย่างไร ใช้สูตรอะไรไม่ว่าจะเป็นภาษีศุลกากรนำเข้า หรือภาษีสรรพสามิต ประกอบกับประเด็นการโต้แย้งของบริษัทโตโยต้าที่ศาลชั้นต้น และประเด็นการโต้แย้งคำตัดสิน สำนวนฟ้องเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้ตัดสิน การตัดสินของศาลนั้นขึ้นอยู่กับสำนวนที่ส่งฟ้องและอุทธรณ์ การใช้ดุลยพินิจทางใดทางหนึ่งมิได้เกิดขึ้นเฉพาะในชั้นศาลเท่านั้น
ในโอกาสหน้า จะเขียนถึงประเด็นอื่นๆ และกฎหมาย FCPA ของสหรัฐกับประสบการณ์ของประเทศไทย ใครได้ประโยชน์กันแน่