เทียบชั้นหุ้นสินเชื่อเงินสด ก่อน “เงินติดล้อ” เข้าตลาดหุ้น

กระแสแรงอย่างมากสำหรับหุ้นสินเชื่อจำนำทะเบียนน้องใหม่ บริษัท เงินสดติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR หลังเปิดทำการให้รายย่อยจองซื้อหุ้นในรูปแบบ Small Lot Frist ระหว่างวันที่ 22 - 23 เม.ย. และ 26 เม.ย. ที่ผ่านมา
ปรากฎยอดจองถล่มทะลายเกินกว่าที่จัดสรรหุ้นส่งผลทำให้ต้องมีการสุ่มเลือก(random)
ดังนั้นจากจำนวนผู้จองเข้ามามากถึงแสนรายการ ( ยังไม่การตรวจสอบรายชื่อซ้ำ ) เฉพาะ 2 วันแรกที่เปิดการจอง หรือ 22-23 เม.ย. ทำให้จะมีผู้ที่พลาดการจองจำนวนมาก และผู้ที่ได้สิทธิจองจะได้หุ้นที่จัดสรรเพียงรายละ 1,000 หุ้น หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 36,500 บาท จากช่วงราคาไอพีโอที่ 34.00-36.50 บาท ซึ่งจะมีการประกาศสิทธิรับหุ้น 28 พ.ค. นี้ และหลังจากนั้นรอรับเงินคืนในวันที่ 13 พ.ค.
ปรากฎการณ์ดังกล่าวถือว่าเดินตามรอยหุ้นขวัญใจมหาชน อย่าง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่ฉีกกฎหุ้นไอพีโอด้วยการจัดสรรให้นักลงทุนรายย่อยมากที่สุดผ่านระบบ Small Lot Frist จนสร้างตัสวเลขจำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ผ่านการลงทุนในหุ้น OR ได้ถึงระดับแสนราย จนทำให้ราคาหุ้นจากไอพีโอที่ 18.00 บาท สามารถยืนเหนืองจองและสร้างผลตอบแทนได้ถึงระดับ 60 % จากราคาเปิดซื้อขายวันแรกด้วยผู้ถือหุ้นรายย่อยที่มีจำนวนมาก
กรณีของ TIDLOR ดำเนินคล้ายกันแต่กลับไม่เหมือนเพราะการกระจายให้รายย่อยกลับมีสัดส่วนที่น้อยกว่าอยู่ที่ 46 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 5.1% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ที่เสนอขาย 907 ล้านหุ้น โดยหุ้นส่วนใหญ่ถูกจัดสรรให้กับสถาบันที่เซ็นสัญญา (Cornerstone) ถึง 44.90 % หรือคิดเป็น 407 ล้านหุ้น
สุดท้ายต้องมาวัดใจธนาคารกรุงศรี ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะยอมกระจายหุ้นมากขึ้นด้วยการนำหุ้นกรีนชูที่มีอยู่ที่ 136 ล้านหุ้นแบ่งมาให้ลงทุนรายย่อย เหมือนที่ OR ที่ดึงหุ้นในส่วนนี้และจากมือของสถาบันมาให้รายย่อยด้วยหรือไม่
อย่างไรก็ตามการเดินหน้าเข้าตลาดหุ้นในครั้งนี้ของ TIDLOR ยังมีแรงกระเพื่อมต่อธุรกิจประเภทเดียวกันในตลาดหุ้นไม่น้อย จากการดำเนินธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว มีปัจจัยกดดันจากดอกเบี้ยที่แบงก์ชาติเข้ามาควบคุมและกำหนดเพดาน และยังเจอการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคอิงกับเทคโนโลยี ทำให้ต้องมีกลยุทธ์ใหม่ควบคู่กับสาขาหน้าร้านเพื่อขยายพอร์ตสินเชื่อ
การระดมทุนในครั้งนี้เม็ดเงินส่วนใหญ่จะใช้ในการขยายธุรกิจสินเชื่อเงินสดด้วยการเพิ่มสาขา ที่มีอยู่ 1,076 สาขา อีก 500 สาขา เป็นจำนวนเงิน 340 ล้านบาท และการเข้าสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล ด้วยเม็ดเงิน 810 ล้านบาท ทั้งหมดจะเกิดขึ้นแล้วเสร็จในปี 2566 หรือคิดเป็นเม็ดเงินรวม 1,150 ล้านบาท บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ย 15-20 % ต่อปี ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
จากรายได้สิ้นปี 2563 มีรายได้รวม 10,553 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2,416 ล้านบาท ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ 92% ที่เหลือจากธุรกิจนายหน้าขายประกันวินาศภัยลูกค้ารายย่อย 8 % ซึ่งบริษัทยังประกาศมองหาโอกาสเข้าซื้อกิจการ (M&A) ทั้งธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำเพื่อหนุนธุรกิจหลักปลายน้ำที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในปัจจุบันไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน
ยังไม่นับรวมกับปัจจัยเสริมที่มูลค่ามาร์เก็ตแคปหลังเข้าตลาดหุ้นแล้วจะขึ้นมาอยู่ที่ 80,000 ล้านบาท ทำให้มีสิทธิเข้าคำนวณในดัชนี SET 50และ SET 100 ในรอบครึ่งปีหลัง2564 ไปโดยปริยายยิ่งทำให้เป็นหุ้นเนื้อหอมสำหรับกองทุนประเภท passive fund
ส่วนของนักลงทุนรายย่อยกลับต้องพิจารณาหุ้นไอพีโอนี้ในหลายๆ ด้าน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกันหมัดต่อมัด ชั้นต่อชั้นกับหุ้นรุ่นพี่ในกลุ่มเดียวกันถือว่าเป็นหุ้นที่มีมูลค่าสูงและศักยภาพในการทำกำไรยังน้อยกว่าอีก 2 บริษัท ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD และ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC
โดยสะท้อนจากจำนวนสาขาที่ยังน้อยกว่าอีก 2 รายใหญ่ที่เดินหน้าขยายสาขาจ่อแตะระดับ 5,000 สาขา ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ถือว่าเป็นตัววัดกำไรของธุรกิจประเภทนี้จะมากหรือน้อยแค่ไหนพบว่ายังน้อยกว่าอีก 2 รายที่อยู่ระดับเฉลี่ย 18 % ส่วนของ TIDLOR อยู่ที่ 15.2 % ซึ่งในส่วนนี้เมื่อมาวัดต้นทุนการกู้หรือแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาปล่อยกู้แทบจะไม่หนีกันเท่าไรเพราะเฉลี่ยใกล้เคียงกันอยู่ที่ 2-3 %
รวมทั้งอัตรากำไรต่อราคาปิดต่อหุ้น (P/E) กลุ่มอยู่ที่ 30 เท่า ปรากฎว่า ทั้ง SAWAD และ MTC ยังมีตัวเลขที่ต่ำกว่า TIDLOR สูงไปถึง 35 เท่า แต่จุดที่ TIDLOR ได้เปรียบมากที่สุดคือแหล่งเงินทุนขนาดใหญ่จากสถาบันการเงินที่เป็นผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มการเงินขนาดใหญ่ "มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ" ที่ต้องการนำเงินทุนที่มีมาหาผลกำไรจากเงินฝากในญี่ปุ่นติดลบสำหรับเงินสำรองส่วนเกินที่สถาบันการเงินวางไว้กับธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งตลาดที่มีศักยภาพในการก่อหนี้และมีวัยทำงานมากสุดคือตลาดอาเซียนสะท้อนจากการวางแผนขยายธุรกิจสินเชื่อเงินสดในภูมิภาคนี้มากขึ้น
อย่างไรก็ตามช่วงที่ผ่านมา SAWAD ได้ปรับแผนธุรกิจจับมือกับพันธมิตรใหญ่ แบงก์ออมสิน รุกสินเชื่อจำนำทะเบียน พร้อมข่าวซุ่มเตรียมบริษัทลูก บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT เข้าสู่สินเชื่อดิจิทัล รวมทั้ง MTC ไม่ยอมอยู่เฉยเข้าสู่ตลาดสินเชื่อเงินสดเช่นเดียวกัน จึงทำให้ศักยภาพการแข่งขันไม่ได้ด้อยและยังมีแหล่งเงินทุนสนับสนุน มีมูลค่าหุ้นที่ถูกกว่าแต่ทำกำไรดีกว่า ทำให้เป็นตัวแปรต่อการเปรียบเทียบทิศทางราคาหุ้นไปด้วย