นิวเอสเคิร์ฟ 'แสนสิริ' เกมรุกซินเนอร์ยี 'อสังหา-ดิจิทัลไฟแนนซ์'
เปิดวิชั่น “‘เศรษฐา ทวีสิน” วางโรดแมพมุ่งนิวเอสเคิร์ฟเสริมแกร่งธุรกิจอสังหาฯ หนุนธุรกิจโตยั่งยืน ลุยขยายพอร์ตดิจิทัลไฟแนนซ์ ลงทุน “เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล” ขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ พร้อมเดินหน้าลงทุนที่อยู่อาศัยเจาะเน้น “เข้าถึงได้”
การขับเคลื่อนธุรกิจท่ามกลางความผันผวนในหลายมิติ โดยเฉพาะ “เทคโนโลยีดิสรัปชัน” และการแพร่ระบาดของโรคโควิดส่งผลกระทบรุนแรงทั่วโลกมานานกว่า 1 ปี และยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ผู้ประกอบการไม่อาจยึดกรอบความสำเร็จของโมเดลธุรกิจแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป ขณะที่โลกการค้าและพฤติกรรมผู้บริโภคปรับเปลี่ยนไปอย่างมากคลื่นดิจิทัลสร้างแรงกระเพื่อมให้ทุกวงการ มีทั้ง “ผลกระทบ” และสร้างโอกาสใหม่ไปพร้อมๆ กัน โดยดีเวลลอปเปอร์ยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย “แสนสิริ” วางยุทธศาสตร์ก้าวสู่ธุรกรรมทางด้านดิจิทัลที่จะเข้ามาเสริมแกร่งองค์กรแห่งอนาคต
นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) ให้สัมภาษณ์พิเศษ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงนโยบายและทิศทางธุรกิจของแสนสิริว่า นอกเหนือจากการลงทุนต่อเนื่องในธุรกิจหลักอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ โดยมุ่งเน้น “แนวราบ” มากขึ้น ขณะที่สัดส่วนคอนโดมิเนียมลดลง พร้อมขยายการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นมากขึ้น จึงตัดสินใจเข้าเข้าถือหุ้น 15% ใน “เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล” ด้วยเงินลงทุน 2,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 2% ของสินทรัพย์แสนสิริ มูลค่า 110,0000 ล้านบาทในปัจจุบัน
ในปีที่ผ่านมายอดขายแสนสิริเป็น “เบอร์หนึ่ง” ในตลาดสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการสินทรัพย์ หรือสต็อกคงเหลือที่ดี เป็นผลจากการปรับกลยุทธ์อย่างทันท่วงทีให้สอดรับสถานการณ์ตลาดที่ซบเซา ด้วยการลดราคา จัดโปรโมชั่นหนัก ทำให้มีบริษัทมีกระแสเงินสดถึง 17,000 ล้านบาท ในปี 2564 แสนสิริ เตรียมเปิดตัว 24 โครงการใหม่ มูลค่า 26,000 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 7% โครงการ มูลค่า 12,300 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 47% ทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่า 6,900 ล้านบาท สัดส่วน 27% คอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 4,100 ล้านบาท สัดส่วน 16% และ โครงการมิกซ์โปรดักท์ 3 โครงการ มูลค่า 2,700 ล้านบาท สัดส่วน 10% ตั้งเป้าหมายยอดขาย 26,000 ล้านบาท จากแนวราบ 16,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 10,000 ล้านบาท จะมียอดโอน 27,000 ล้านบาท จากแนวราบ 16,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 11,000 ล้านบาท
นิวเอสเคิร์ฟเข้าถึงคนทุกกลุ่ม
“ก้าวรุกของการลงทุนดิจิทัลไฟแนนซ์ครั้งนี้ ถือเป็น นิวเอสเคิร์ฟ ที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับแสนสิริในระยะยาว ที่มาพร้อมการสร้างรายได้ประจำให้แสนสิริในส่วนหนึ่ง ในการเข้าสู่ธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ เพราะโลกเปลี่ยนไปคุณต้องตามโลกให้ทัน การที่แสนสิริเข้าไปลงทุนในเอ็กซ์สปริง ซึ่งหากพูดถึงไลเซนส์ด้านดิจิทัล นับเป็นบริษัทที่มีครบและพร้อมที่จะเทคออฟ ทั้งให้ผลตอบแทนในแง่ของการลงทุนที่ดี”
นายเศรษฐา ขยายความต่อว่า ดิจิทัล ไฟแนนซ์ เป็น “โอกาส” สำคัญทั้งแสนสิริ และลูกค้าเป้าหมาย เพราะหากพิจารณาการลงทุนในยุคก่อน ผู้ลงทุนคือกลุ่มคนมีเงิน หรือ คนรวย จะซื้อหุ้นครั้งหนึ่งต้องมีเงินหลักหมื่นหลักแสนบาท ทำให้การเข้าถึงการลงทุนทำได้ลำบาก แต่ปัจจุบันดิจิทัลไฟแนนท์สามารถเข้าถึงได้ผ่านมือถือ มีเงิน 1,000 บาท 500 บาท ก็สามารถลงทุนได้
“สังคมปัจจุบันความเท่าเทียมและการเข้าถึงได้เป็นสิ่งที่สำคัญ และธุรกรรมด้านดิจิทัลเหล่านี้เป็นไลฟ์สไต์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความเท่าเทียม ต้องการการเข้าถึงได้ สอดรับกับปรัชญาการดําเนินธุรกิจของแสนสิริ มุ่งทำบ้านหลากหลายระดับราคาเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ตั้งแต่ 1 ล้านบาท จนถึง 400 ล้านบาท รองรับคนที่มีรายได้ระดับฐานรากจนถึงรวยสุด”
จะเห็นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงความมั่งคั่ง หากเงินมากกว่าได้กำไรเยอะกว่าคนที่่มีเงินน้อยสามารถเข้าถึงได้เช่นกัน อย่าง บิทคอยน์ ที่เข้าถึงได้ด้วยเทคโนโลยี คนซื้อ 1.5 ล้านบาท กำไร 7 แสนบาท คนที่ซื้อ .001 กำไร 750 บาท ทุกคนเท่าเทียมเพราะมีสิทธิ์เข้าถึงได้ ที่ผ่านมาแสนสิริแจ้งเกิดมาจากการขายของแพง เปลี่ยนมาขาย 999,999 บาทต่อยูนิต เพื่อทำให้คนมีเงินน้อยในยุคนี้หรือคนมีเงินมากก็สามารถเข้าถึงแสนสิริได้ทั้งสินค้าและบริการที่เท่าเทียม เสมอภาค
"เป็นที่มาของเหตุผลที่ทำไมผมถึงลงทุนในเอ็กซ์สปริงเพราะทำให้ทุกคนเข้าถึงได้ เป็นการสร้างแวลูให้กับผู้ถือหุ้นแสนสิริด้วยไม่ใช่แค่การลงทุนอย่างเดียว”
ประการสำคัญ ยังมั่นใจฝีมือการบริหารของ “ระเฑียร ศรีมงคล” ประธานกรรมการ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นผู้มากประสบการณ์ในอุตสาหกรรมการเงิน เพราะพ่วงด้วยตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี โดยจะช่วยให้เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล สามารถต่อยอดธุรกิจอื่นๆ ร่วมกับแสนสิริ เช่น ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) ประเภทสินเชื่อบ้าน ซึ่งผู้บริหารมีประสบการณ์เก็บหนี้ธุรกิจสินเชื่อบุคคล ส่วนแสนสิริมีความเชี่ยวชาญในการปรับปรุงดูแลบ้านก่อนขายทอดตลาด เป็นต้น
สำหรับ แนวทางการการออกโทเคน พร็อพเพอร์ตี้บายแสนสิริ ซึ่งลูกค้าแสนสิริ มีจำนวนมาก "เป็นแสนคน" แทนที่จะซื้อคอนโดมิเนียม อาจซื้อโทเคนแทนก็สามารถทำได้ หรือหาก "เอ็กซ์สปริง" จะไปทำร่วมกับเอพี หรือแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ก็ทำได้เช่นกัน เรียกได้ว่า "อะไรที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่มีกรอบ หรือ กฏเกณฑ์มาบังคับ ขออย่างเดียวขอให้ทำกำไรให้ได้ และไม่จำเป็นจะต้องทำกับแสนสิริก่อนทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ความพร้อมเป็นสำคัญ”
จี้รัฐบาลโฟกัสตรงจุด
อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิดและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวนั้น ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปีนี้ น่าจะ “ทรงตัว” เพราะโควิดรอบใหม่กระทบการเยี่ยมชมโครงการ ในเวลานี้สิ่งเดียวที่ต้องเร่งทำ คือ ฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด ครอบคลุมให้เร็วที่สุด ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองที่มีประชาชนจำนวนมาก อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ โคราช สมุย พัทยา ภายในไตรมาส 3 พร้อมทั้งเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อผลักดันไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไฮซีซัน และเศรษฐกิจจะมีโอกาสพลิกฟื้นขึ้นมาได้
“รัฐบาลควรโฟกัสตรงนี้ และถ้าทุกอย่างไปได้ด้วยดีภายในสัปดาห์ 2 นี้ ควรเริ่มคิดวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 เพราะได้กู้เงิน 7 แสนล้านบาทมาแล้ว ก็ต้องใช้ในถูกทาง”
นายเศรษฐา กล่าวว่า อยากจะเห็นรัฐบาลประกาศ “นโยบายกระตุ้นเศรษกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย” ครอบคลุมทุกรายได้และชนชั้น ทั้งนโยบายและเม็ดเงินที่ใส่ลงไป การกระตุ้นเศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องเป็นการใส่เงินแต่เพียงอย่างเดียวเป็นในเชิงนโยบายก็ได้ เพราะวันนี้ทุกคนต้องการกำลังใจเพื่อทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย และการลงทุนจะกลับมา เกิดการจ้างงาน หากนายกฯ ออกมาพูดให้ชัดเจนจะทำให้ทุกคนมีกำลังใจขึ้น
“รัฐบาลควรทำเพื่อให้ภาคธุรกิจ และประชาชนเกิดความรู้สึกมั่นใจมากที่สุด แทนที่เขาจะเลย์ออฟคนงาน แต่หาก 3 เดือนหลังจากฉีดวัคซีนครบมีสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว ธุรกิจเปิดให้บริการได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับความจริงว่า อาจจะต้องมีการเก็บภาษีคนตัวใหญ่ดึงเม็ดเงินเพื่อมาช่วยคนตัวเล็ก เหมือนในสหรัฐ เพราะช่วงวิกฤติที่ผ่านคนรวยรวยขึ้นเยอะเพราะเศรษฐกิจเป็นรูปแบบ “เค-เชฟ” ฉะนั้นวันนี้ ถึงเวลาที่คนรวยจะต้องช่วยสังคมมากขึ้น”
ปลดล็อกแอลทีวีหนุนอสังหาฯฟื้น
ในส่วนมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เรื่องสำคัญคือปลดล็อกมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (แอลทีวี) เพราะจุดเริ่มต้นของแอลทีวีคือเรื่องของการเก็งกำไรแต่ วันนี้ “ไม่มี” ต้องยกเลิก
“ผมอยากจะขอเรียกร้อง เพราะการซื้ออสังหาฯ มีมัลติพลายเออร์ เอฟเฟค ที่มีผลกระทบต่อทุกๆ วงการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ จะได้ประโยชน์”
ขณะเดียวกัน ในส่วนตลาดต่างชาติก็เป็นอีกประเด็นสำคัญ เช่น เรื่องของลีสโฮลด์จาก 30 ปี เป็น 99 ปี เพราะเป็นระยะเวลาที่ดึงดูดให้คนเข้ามาเช่าอยู่มากขึ้น แม้ว่า บางคนอาจมองเรื่องความมั่นคง หรือมองว่าเป็นการขายชาติ ซึ่ง “ไม่ใช่” การให้ต่างชาติเข้ามาถือครองสิทธิบ้านเดี่ยวเพราะในพื้นที่อุตสาหกรรมอนุญาติให้ต่างชาติถือครองอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่อาจจะแบ่งสัดส่วนให้ถือครองประมาณ 30% ของหมู่บ้าน
ทั้งนี้ รอบ 12 เดือนที่ผ่านมาประเทศไทยจัดการเรื่องโควิดได้ดี โดยเฉพาะสาธารณสุขพื้นฐาน บุคคลกรทางการแพทย์ทำงานได้ดีมาก ทำให้คนอยากเข้ามาอยู่ประเทศไทย โควิดครั้งนี้เปลี่ยนมายด์เซตของชาวโลก อยากมาประเทศไทย เพราะมีทั้งทะเล ภูเขา ภูมิอากาศที่ดี ทำให้อยากเข้าลงทุน เข้ามารีไทร์มากขึ้น แต่ติดเรื่องกฏหมายหลายอย่างที่ไม่สามารถถือครองที่ดินได้
"ผมรู้ว่าเป็นเรื่องที่ยากเพราะเป็นเรื่องประเด็นทางการเมืองแต่เอาใจช่วยท่านนายกฯ ได้ยินว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงตรงนี้”
ปัจจุบัน แสนสิริ มีสินทรัพย์มูลค่ากว่า 110,000 ล้านบาท มีสต็อกสร้างเสร็จ 6,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 6% ไม่ได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย แต่หากไม่ทำประเทศชาติจะเสียโอกาสในการดึงกำลังซื้อจากต่างประเทศเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้เกิดการลงทุนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากกว่า