อสังหาฯลุย‘ไฟท์ติ้งแบรนด์’สู้วิกฤติ เปิดศึกชิงกำลังซื้อเฟิร์สจ็อบเบอร์
ไฟท์ติ้งแบรนด์!! หนึ่งในกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในวิกฤติเศรษฐกิจกำลังซื้อหดหาย ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทยอยออกมาไม่ว่าจะแบรนด์ “เดอะ มูฟ” “ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์” ““บริกซ์ตัน เพ็ทแอนด์เพลย์” “เสนาคิทท์” แบรนด์ “นิว”
เหตุที่ทำให้บรรดาค่ายอสังหาฯ หันมาเจาะตลาดกลุ่มสินค้า Affordable Segment ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทมากขึ้นนั้น ปัจจัยแรก วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้ง 3 ระลอกที่เกิดขึ้น เพราะจากการประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่า การฟื้นตัวเศรษฐกิจต้องใช้เวลานาน “จำเป็น” ต้องประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอด! ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ผู้ซื้อมีรายได้ที่ลดลง ฉะนั้นสินค้าราคาเริ่มต้น 1 -3 ล้านบาท จึงเป็นคำตอบที่ลงตัวที่สุดในเวลานี้!!!
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ พบว่า ที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-3 ล้านบาท เป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่มีกำลังซื้อมากสุดในปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าคอนโดระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ยังมีกำลังซื้อและอัตราการดูดซับยังดีอยู่ แม้ว่าภาพรวมของตลาดคอนโดไม่ดีก็ตาม
สอดคล้องกับที่ “เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ประเมินสถานการณ์ไว้ว่า ท่ามกลางวิกฤติกำลังซื้อ “ราคา” เป็นปัจจัยอันดับหนึ่งในการตัดสินซื้อ ขณะเดียวกันเรื่องของแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความแตกต่างและน่าเชื่อถือ เพราะถ้าไม่มีความแตกต่างสุดท้ายจะอยู่ที่ราคาเป็นหลัก ทำให้เกิดไฟท์ติ้งแบรนด์คอนโดภายใต้แบรนด์ “เสนาคิทท์” ที่มีราคาต่อยูนิตต่ำล้านบาท จำนวน 6 โครงการ ในทำเลใกล้แหล่งงาน เช่น ย่านนิคมอุตสาหกรรมบางบ่อ
ปัจจัยที่สอง ที่ทำให้ตลาดนี้ยังคงไปต่อได้ก็คือมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองต่ำกว่า 3 ล้านบาท ปัจจัยที่สาม อัตราดอกเบี้ยต่ำ และ ปัจจัยที่สี่ หนีไม่พ้น สงครามราคา!
“แม้เศรษฐกิจแย่ แต่ผู้คนยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะคอนโด หรือ บ้าน เพราะอย่าลืมว่ามีผู้คนไม่น้อยยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองย่อมอยากได้คอนโด บ้าน และพร้อมจะนำเงินอนาคตมาซื้อ เพราะรู้สึกว่าเวลานี้เป็นราคาที่อยู่อาศัยเหมาะสมแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการทุกค่ายแข่งกันลดราคา โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ราคา 1-3 ล้านบาท และระดับราคา 3-5 ล้านบาท”
ก่อนหน้านี้ “เศรษฐา ทวีสิน” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ประกาศว่าแสนสิริจะเปิดตัวคอนโดแบรนด์ใหม่ “เดอะ มูฟ” จำนวน 4 โครงการในระดับราคาที่จับต้องได้ (Affordable) เพื่อรองรับกลุ่มยังก์ เจนเนอเรชั่น อายุ 18-30 ปี ในย่านรัชดาฯ เกษตร รามคำแหง และ บางนา ราคาเริ่มต้นกว่า 1 ล้านบาทจนถึง 2 ล้านกว่าบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ10 ปี ที่กลับมาทำตลาดนี้อีกครั้งเพื่อช่วงชิงกำลังซื้อกลุ่มเรียลดีมานด์และส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่ง
“ปีนี้เราหันมาโฟกัสตลาดแมสด้วยการทำราคาขายลดลง จึงเชื่อว่าขายได้แน่นอน แม้จะมีความเสี่ยงในการถูกปฎิเสธสินเชื่อ”
ล่าสุด แสนสิริ ได้ปิดการขาย “เดอะ มูฟ เกษตร” โครงการแรก ในรอบพรีเซล ด้วยยอดขายกว่า 335 ล้านบาท พร้อมเตรียมเปิด “เดอะ มูฟ ราม 22” ซึ่งเป็นอาคารสูง 8 ชั้น 2 อาคาร ขนาดห้องตั้งแต่ 21-24.5 ตารางเมตร จำนวนทั้งหมด 254 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท หรือราคาขายเฉลี่ยที่ 79,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 487 ล้านบาท
ด้าน “อภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด สมาร์ทคอนโดมิเนียมเครือออริจิ้น กล่าวว่า เพื่อต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” จึงได้ตัวแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ เพื่อขยายฐานลูกค้าเซกเมนต์ใหม่ให้ครอบคลุมตลาด และตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนยุคเน็กซ์ นอร์มอล เริ่มต้นจากแบรนด์ “ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์” คอนโดจับกลุ่มเจนวาย กลุ่มสตาร์ทอัพ สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ ราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท และ “บริกซ์ตัน” คอนโดเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มในราคาจับต้องได้ในกลุ่มคนเจนซี ที่ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท
“เทรนด์ของตลาดวันนี้ ผู้บริโภคต้องทำงานที่บ้านมากขึ้น ใช้ชีวิตอยู่กับบ้านนานขึ้น พบเจอผู้คนน้อยลง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ ความต้องการที่พักอาศัยที่กว้างขวางมากขึ้น และอยากมีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนแก้เหงาในที่พักอาศัย ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ซึ่งให้เพดานสูงถึง 4.2 เมตร และบริกซ์ตัน มีฟังก์ชันตอบโจทย์การใช้ชีวิตของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง จึงเป็นไฟท์ติ้งแบรนด์ ที่มาตอบโจทย์ความต้องการตลาดเวลานี้” อภิสิทธิ์ กล่าว
เช่นเดียวกับ “ ธีรพล วรนิธิพงศ์ ”กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้มองเห็นโอกาสในการเปิดตัวแบรนด์ นิว (NUE) เพื่อขยายตลาดคอนโดระดับราคา 2-3 ล้านบาท จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ บนทำเลที่เป็นศูนย์กลางในย่านเมืองใหม่ ( New Urban Epicenter) ตามแนวรถไฟฟ้าเส้นหลัก และส่วนต่อขยายทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาโครงการในย่าน แจ้งวัฒนะ ศรีนครินทร์-ลาซาล และ บางนา เป็นต้น
ไฟท์ติ้งแบรนด์อสังหาฯ ของคอนโด ที่ออกมาในปีนี้ นอกจากจะเป็น “ตัวช่วย” ในการขยายฐานลูกค้าใหม่ในส่วนที่แบรนด์หลักไม่สามารถเข้าถึง เพราะติดเรื่องของ “ราคา” โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความอ่อนไหวเรื่องราคา ( Price Sensitive) ที่พร้อมจะเปลี่ยนใจจากแบรนด์แล้ว ยังช่วย รับมือกับ “กำลังซื้อที่อ่อนแอ” ได้อย่างแยบยล