‘สทท.’ ชี้ 4 ซีนาริโอท่องเที่ยวไทยปี 64 ‘เปิดประเทศ’ ดึง 2 ล้านคนตกงานคืนตลาด!
วานนี้ (29 มิ.ย.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) แถลงถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในไตรมาส 2/2564 พร้อมคาดการณ์จำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2564
หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกแถลงการณ์ “เปิดประเทศภายใน 120 วัน” เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา
วิชิต ประกอบโกศล รองประธาน สทท. กล่าวว่า สทท.ประเมินจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2564 ไว้ 4 ฉากทัศน์ (ซีนาริโอ) ได้แก่ 1.กรณีเปิดรับนักท่องเที่ยว 10 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ บุรีรัมย์ รวม “กรุงเทพฯ” ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ หากสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ตามเป้าหมายภายในเดือน ต.ค.นี้ หลังจากเร่งกระจายฉีดวัคซีนแก่ประชากรในกรุงเทพฯได้ทันจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ บวกกับอีกปัจจัยสำคัญคือมีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนด้วย คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยรวม 3 ล้านคน สร้างรายได้ 212,000 ล้านบาท ถือเป็น “ซีนาริโอดีที่สุด!” ที่ สทท.ต้องการให้เกิดขึ้น 2.กรณีเปิดรับนักท่องเที่ยว 10 จังหวัด แต่ไม่มีนักท่องเที่ยวจากจีน คาดมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยรวม 2 ล้านคน สร้างรายได้ 152,000 ล้านบาท
3.กรณีเปิดรับนักท่องเที่ยว 9 จังหวัด ไม่นับรวมกรุงเทพฯ แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากจีน คาดมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยรวม 1.4 ล้านคน สร้างรายได้ 107,000 ล้านบาท และ 4.กรณี “เลวร้ายที่สุด” เปิดรับนักท่องเที่ยวได้แค่ 9 จังหวัด ทั้งยังไม่มีนักท่องเที่ยวจากจีน คาดมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยรวม 1 ล้านคน สร้างรายได้ 83,000 ล้านบาท
“แน่นอนว่า สทท.หวังให้จำนวนและรายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นไปตามกรณีที่ 1 แต่ซีนาริโอที่มองว่า “เป็นไปได้มากที่สุด” คือกรณีที่ 3 มีการเปิดรับนักท่องเที่ยว 9 จังหวัด ยกเว้นกรุงเทพฯ เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถฉีดวัคซีนแก่คนในกรุงเทพฯได้ครบ 70% หรือไม่ แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางเข้ามา เท่ากับว่าตัวเลขจำนวนและรายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวชาติของกรณีที่ 3 จะน้อยกว่ากรณีที่ 1 ถึง 1.6 ล้านคน รายได้ลดลง 105,000 ล้านบาท เนื่องจากไม่สามารถเปิดกรุงเทพฯรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้”
ทั้งนี้มองว่า “มีโอกาสสูง” ที่ทางการจีนจะอนุญาตให้ชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศในปีนี้ โดยน่าจะเริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.เป็นต้นไป หลังเห็นสัญญาณบวก โดยเฉพาะเรื่องการระดมฉีดวัคซีนแก่ชาวจีนซึ่งมีจำนวนประชากรกว่า 1,300 ล้านคน โดยเมื่อไตรมาส 1 มีการฉีดวัคซีนแก่ชาวจีน 200 ล้านโดส ไตรมาส 2 มีการฉีดเพิ่มอีก 1,000 ล้านโดส ทำให้ ณ สิ้นเดือน มิ.ย.มีการฉีดวัคซีนแก่ชาวจีน 1,200 ล้านโดส และภายในไตรมาส 4 จะฉีดเพิ่มอีก 1,000 ล้านโดส รวมเป็น 2,200 ล้านโดส ประกอบกับประเทศจีนเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวช่วงต้นปี 2565 น่าจะมีการเริ่มทดลองให้คนเข้าออกประเทศ
“ในช่วงเดือน ก.ย.นี้จะมีการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแก่จำนวน 70% ของประชากรจีน ขณะเดียวกันเป็นช่วงเวลาที่ไทยต้องเร่งฉีดวัคซีนให้คนในประเทศไม่ต่ำกว่า 70% ของประชากร เพื่อให้ไทยได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำ เพราะคาดการณ์ว่าทางการจีนจะอนุญาตให้ชาวจีนไปเที่ยวเมืองที่มีการฉีดวัคซีน 70% ขึ้นไปของจำนวนประชากรเท่านั้น โดยไม่ต้องกักตัวตอนขากลับ”
ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธาน สทท.กล่าวว่า นโยบาย “เปิดประเทศทั้งประเทศภายใน 120 วัน” ของนายกฯ น่าจะช่วยผู้ประกอบการดึงแรงงานกลับเข้าสู่ตลาด เพื่อเตรียม “รีสตาร์ทธุรกิจ” รับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง
โดยจากการสำรวจผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวจำนวน 725 ราย ระหว่างวันที่ 15-30 พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่าไตรมาส 2/2564 สถานประกอบการเหลือพนักงานโดยเฉลี่ย 51% นั่นหมายความว่ามีแรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอยู่ในสภาวะ “ตกงาน” ประมาณ 49% หรือคิดเป็นจำนวนมากถึงประมาณ 2 ล้านคน! จากที่เคยมีในระบบอยู่ประมาณ 4.2 ล้านคน ถือเป็นยอดคนตกงานมากที่สุดนับตั้งแต่เผชิญวิกฤติโควิด-19 หลังเจอการแพร่ระบาดระลอก 3 ภายในประเทศซ้ำเติมตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
อีกทั้งสถานประกอบการ 68% มีจำนวนพนักงานเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง ส่วนเงินเดือนและการจ่ายค่าจ้างปรับลดลงเหลือ 65% จากไตรมาสก่อนที่ได้ 70% โดย 60% ของสถานประกอบการท่องเที่ยวที่ยังเปิดอยู่จ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างแก่พนักงานไม่เกิน 50% จากที่เคยจ่าย ซึ่งสถานประกอบการที่ยังเปิดบริการในไตรมาส 2 นี้ พบว่า 74% มี “สภาพคล่อง” ในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ไม่เกิน 6 เดือน สะท้อนให้เห็นว่าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น คาดว่าอีก 6 เดือนข้างหน้า จะมีสถานประกอบการท่องเที่ยวเหลือรอดเพียง 13% ของทั้งประเทศ!
ด้านผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ทำให้ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีการเปิดบริการตามปกติเพียง 50% เท่านั้น! โดยมีปิดกิจการชั่วคราว 36% เพิ่มขึ้นจากการระบาดในระลอกก่อน 22% และมีกลุ่มที่ปิดกิจการถาวรถึง 4% เพิ่มขึ้นจากการระบาดในระลอกก่อน 1% โดยกลุ่มธุรกิจที่ปิดกิจการถาวรมากที่สุดคือ ร้านขายของที่ระลึก รองลงมาคือ สปา นวดแผนไทย, สถานบันเทิง และโรงแรม ส่วน “รายได้ของธุรกิจ” นั้น พบว่ากว่า 75% ของสถานประกอบการท่องเที่ยวมีรายได้ไม่เกิน 10%
ส่วน “ดัชนีความเชื่อมั่น” ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในไตรมาส 2/2564 เท่ากับ 11 อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติมากที่สุดนับตั้งแต่เจอวิกฤติโควิด-19 มา และต่ำกว่าไตรมาสที่ผ่านมาในระดับมาก โดยใกล้เคียงกับไตรมาส 2/2563 ซึ่งอยู่ที่ 12 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ไตรมาส 3/2564 เท่ากับ 33 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการคาดว่าผลประกอบการในไตรมาสหน้าจะดีขึ้นกว่าไตรมาสนี้เล็กน้อย แต่สถานการณ์ท่องเที่ยวยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติมากที่สุด