อสังหาฯชงปรับมาตรการปิดแคมป์ แยกคุม3ระดับหวั่นเสียหายหนัก
หนึ่งในมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ด้วยการ “ปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง” ล่าสุดมีการ “คลายล็อค” 4 กิจการก่อสร้าง แคมป์คนงาน ไซส์ก่อสร้าง เคลื่อนย้ายแรงงาน โดยมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด พิจารณาในเขตพื้นที่ของตนเองเป็นรายกรณี
ปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ทางบริษัทได้ออกมาตรการตรวจเชิงรุกเพื่อคัดกรองแรงงานเพื่อเตรียมความพร้อม หากภาครัฐปลดล็อคมาตรการปิดแคมป์จะได้สามารถปฏิบัติงานได้ทันที เนื่องจากมีการเตรียมความพร้อมให้กับแรงงานเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินการก่อสร้างในอนาคต เพราะหากบริษัทไหนที่บริหารจัดการแคมป์ได้ดีจะสามารถดำเนินการก่อสร้างต่อไปได้
“มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิดที่เหมาะสมก็คือไม่ควรจะปิดหมดทุกแคมป์เพราะจะส่งผลกระทบตามมามหาศาล ฉะนั้นแนวการจัดการแคมป์แรงงานก่อสร้างภาครัฐควรจะแบ่งออกตามความเสี่ยงสูงไปเสี่ยงต่ำ 3 ระดับ ได้แก่แดง-เหลือง-เขียว ในการควบคุมการแพร่ระบาด”
ยกตัวอย่าง หากแคมป์ไหนบริหารจัดการแคมป์ดี ไม่มีการติดเชื้อสามารถดำเนินการก่อสร้างได้จะเป็น สีเขียว ส่วนแคมป์ที่มีแนวโน้มการจัดการที่ดีแต่มีผู้ติดเชื้อบ้างจะเป็นสีเหลืองให้คัดแยกคนที่ติดเชื้ออกไปรักษา ส่วนแคมป์ที่จัดการไม่ดีมีคนติดเชื้อจำนวนมากจะเป็นสีแดงจะถูกระงับการก่อสร้างไปจนกว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้ตามมาตรการที่รัฐกำหนด โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาควบคุมดูแล น่าจะดีกว่าใช้มาตรการเหมารวมในการสั่งปิดทุกแคมป์
โดยควรมีมาตรการบริหารจัดการที่เหมาะสมออกมาแก้ปัญหา เริ่มจากการกำหนดมาตรฐานกลางออกมาเพื่อใช้ตรวจสอบและเป็นแนวทางให้แต่ละบริษัทนำไปใช้ภายในแคมป์หรอไซต์งานก่อสร้าง ซึ่งในต่างจังหวัดอาจเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล หรือ อบต.ที่เข้ามาดูแล ส่วนในกรุงเทพฯเจ้าหน้าจากเขตต่างๆดูแลและให้บริษัทเอกชนภายนอกเข้าไปตรวจสอบดีว่าสั่งปิดแคมป์ทั้งหมดและหากรัฐสามารถดำเนินการฉีดวัคซีนในกลุ่มแรงงานก่อสร้างได้หมดจะสามารถแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จ
ปิยะ ระบุว่าแนวทางดังกล่าวสามารถนำไปปรับใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคลัสเตอร์ใหญ่เกิดขึ้นในโรงงาน แคมป์ ที่พักคนงาน เพราะส่งผลต่อเศรษฐกิจในประเทศหลังจากที่ภาคส่งออกเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ปัจจุบันพนักงานพฤกษาส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนแล้วโดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องดูแลลูกค้าในสำนักงานขายเพื่อสร้างความมั่นใจทั้งกับพนักงานและลูกค้าที่เข้ามารับบริการ จะเหลือแต่กลุ่มก่อสร้างที่ยังรอวัคซีนอยู่ หากฉีดได้หมดก็จะช่วยแก้ปัญหาได้
วิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขอเรียกร้องและวิงวอนให้รัฐบาลเร่งกระจายการฉีดวัคซีนให้กับคนงานก่อสร้างอย่างเร่งด่วนที่สุดในระหว่างที่ปิดแคมป์โครงการก่อสร้าง โดยหากไซต์งานก่อสร้างหรือแคมป์คนงานใด มีการจัดฉีดวัคซีนให้กับคนงานเป็นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดแล้ว และมีมาตรการในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยตามมาตรการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขแล้ว ก็ควรจะพิจารณาอนุญาตให้คนงานที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว กลับเข้ามาทำงานก่อสร้างต่อได้
หากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดในแคมป์คนงานก่อสร้างได้แล้ว ขอให้ ศบค.พิจารณาทบทวนคำสั่ง โดยอนุญาตให้กลับมาเปิดแคมป์คนงานก่อสร้างได้เร็วขึ้น หรือเร็วกว่าคำสั่งปิดที่กำหนด 30 วันเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจมากไปกว่านี้ และเพื่อให้คนงานกลับมาทำงานหาเลี้ยงชีพได้เร็วขึ้น ขณะที่โครงการก่อสร้างทั้งของภาครัฐและเอกชนก็จะเสียหายน้อยลง
การปิดแคมป์โครงการก่อสร้างทุกแห่งในกรุงเทพฯ ปริมณฑลที่มีอยู่กว่า 400 แห่ง และมีคนงานรวมกันมากกว่า 200,000 คนนั้น ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในวงกว้าง ทั้งคนงานที่ขาดรายได้ไปเลี้ยงครอบครัวกระทบต่อกำลังซื้อ และกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งเศรษฐกิจในชุมชนรอบแคมป์คนงานทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล และเศรษฐกิจในภาพใหญ่
ขณะเดียวกัน ส่งผลกระทบต่อแผนงานการก่อสร้างของโครงการก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างและระยะเวลาที่ต้องล่าช้าออกไปด้วย ที่สำคัญการหยุดชะงักงานก่อสร้าง ยังอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของการทำงานด้วย เพราะงานก่อสร้างเป็นงานที่ต้องทำต่อเนื่องจะหยุดหรือทิ้งไว้นานไม่ได้ เช่น นั่งร้าน หรือระบบเสาค้ำยันที่สร้างไว้ชั่วคราว การทิ้งไว้นานๆจะเกิดความเสียหาย และมีผลต่อความปลอดภัย
ล่าสุดบริษัทได้จัดซื้อวัคซีนซิโนฟาร์มจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ฯ แล้ว 1,600 โดส และได้รับการจัดสรรวัคซีนจากกรมควบคุมโรคอีกส่วนหนึ่งเพื่อฉีดให้พนักงานและคนงานในแคมป์งานก่อสร้างทั้งคนไทยและคนงานต่างด้าวรวมทั้งออกมาตรการในการควบคุมการปฏิบัติเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด