3 โบรกสแกน ‘10 หุ้นเด่น’ ต้องซื้อลงทุน รายได้-กำไรแกร่ง ฝ่าโควิด
ตลาดหุ้นไทยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (5-9 ก.ค.) เคลื่อนไหวผันผวน จากผลกระทบกระแสข่าวรัฐบาลเตรียมใช้มาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวลง 27.19 จุด ลดลง 1.72% มาปิดที่ 1,552.09 จุด
ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 4.06 แสนล้านบาท ระหว่างสัปดาห์ปรับตัวลงต่ำสุดที่ 1,540.56 จุด อย่างไรก็ดี ภายหลังรัฐบาลประกาศมาตรการล็อกดาวน์อย่างเป็นทางการในวันที่ 9 ก.ค. SET กลับปรับขึ้น 8.42 จุด โดยนักวิเคราะห์คาดว่าเป็นผลจากที่นักลงทุนตอบรับข่าวเชิงลบไปแล้ว
สำหรับการลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนหนักถือเป็นโอกาสสร้างผลกำไรที่ดี ในการนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดงานสัมมนาออนไลน์ “Stock in Trend: เจาะ Theme หุ้น Post-Pandemic Boom เปิดเมืองได้ไหม Sector ไหนมา” โดยเริ่มที่ “ภาดล วรรณรัตน์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เผยว่า แม้รัฐบาลจะประกาศปิดเมือง แต่มองเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้ทำการบ้านเพื่อคัดเลือกหุ้นที่สามารถลงทุนรับการฟื้นตัวหลังเปิดเศรษฐกิจ
โดยการลงทุนจึงแนะนำซื้อกลุ่มหุ้นที่มีความแข็งแกร่ง และมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2565 ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล เพราะคาดว่าผลการดำเนินงานของกลุ่มในปี 2564 จะพลิกกลับมาเป็นกำไร หรือเติบโต 30% เทียบกับปีก่อน จากปัจจัยหนุนรายได้การตรวจหาเชื้อโควิด-19 และการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมถึงการฉีดวัคซีนทางเลือกในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้
นอกจากนี้ คาดว่ากำไรปี 2565 จะกลับมาฟื้นตัวได้ในระดับปกติก่อนเกิดโควิด-19 ปี 2565 จากการเปิดประเทศ และจะส่งผลให้กลุ่มผู้ป่วยต่างชาติทยอยกลับเข้ามาใช้บริการ ขณะที่ในระยะยาวคาดว่าภาวะวิกฤตในครั้งนี้จะทำให้ภาครัฐหันมาให้ความสำคัญหับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข
ทั้งนี้ คาดการกลับมาเปิดประเทศจะเป็นผลบวกต่อโรงพยาบาลขนาดใหญ่มากกว่า เพราะมีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติสูง และมีความต้องการใช้บริการที่อั้นจากช่วงวิกฤต (Pent-up Demand) เช่น การทำศัลยกรรม และการทำทันตกรรม ฯลฯ โดยหุ้นเด่น ได้แก่ บมจ.เอกชัยการแพทย์ (EKH) บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) และ บมจ.โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ (IMH)
นอกจากนี้ ยังแนะนำซื้อ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เพราะธุรกิจสื่อสารเป็นปัจจัย 5 ของการดำรงชีวิต ขณะที่รายได้มีการเติบโตตามทิศทางเศรษฐกิจ แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบกลับเป็นกลุ่มที่รายได้ลดลงน้อยกว่าเศรษฐกิจ อีกทั้งได้ประโยชน์จากกระแสการใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น Netflix หรือ Disney+ ฯลฯ และการใช้ 5G ที่ส่งผลให้รายได้ต่อหัวของลูกค้าเพิ่มขึ้น
ด้าน “วิจิตร อารยะพิศิษฐ” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ชี้ว่า ในยามที่ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากโควิด-19 ส่งผลให้กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) ที่เคลื่อนไหวตาดัชนี มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้น้อยกว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็ก จึงแนะนำธีมการลงทุนหุ้นกลุ่มหลังที่มีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน ได้แก่ 1. กลุ่มที่ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นเท่าตัว (Double Demand) ได้แก่ บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) และ บมจ.เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค (KWM) และ 2. กลุ่มที่คาดว่ากำไรจะเติบโตมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ (Earning Surprised) ได้แก่ บมจ.เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) (SIS) และ บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE)
ขณะที่ “วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า แนะนำซื้อกลุ่มโรพยาบาล เพราะไม่ว่าจะเปิดเมืองได้หรือไม่ก็เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ โดยคาดว่ากำไรไตรมาส 2 ปี 2564 และในช่วงครึ่งหลังที่เหลือของปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ส่วนภายหลังเปิดประเทศคาดว่าจะได้ประโยชน์จากผู้ป่วยต่างชาติที่กลับเข้ามาใช้บริการ ได้แก่ BDMS และ EKH นอกจากนี้ แนะนำ บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) และ บมจ.โซนิค อินเตอร์เฟรท (SONIC) จากแนวโน้มกำไรที่แข่งแกร่ง