เอพีปัดฝุ่น‘บ้านกลางกรุง-แอสปาย’ขยายฐานลูกค้าดันรายได้เข้าเป้า
เอพี ไทยแลนด์ ไม่หวั่นโควิด เร่งเครื่องครึ่งปีหลังเปิดตัว 26 โครงการมูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาท พร้อมปัดฝุ่นแบรนด์ ‘บ้านกลางกรุง’ เจาะกลุ่มไอเอนด์ ‘แอสปาย’จับกลุ่มยังเจน ดันเป้ารับรู้รายได้ 4.3 หมื่นล้านบาท
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ครึ่งปีแรกจะได้รับผลกระทบจากโควิดและมาตรการรัฐ เช่น ปิดแคมป์ก่อสร้าง 1 เดือน และล่าสุดมีมาตรการล็อกดาวน์ 14 วัน แต่ส่งผลไม่รุนแรง เนื่องจากได้เตรียมแผนรับมือล่วงหน้า สังเกตได้จากมีผู้เยี่ยมชมโครงการไตรมาส 2 รวม 1,464 คน/สัปดาห์ สูงกว่าไตรมาสแรกที่มี 959 คน และเชื่อว่าหลังจากปลดล็อคแคมป์ก่อสร้างจะสามารถเร่งการก่อสร้างได้ตามกำหนด
สำหรับแผนในครึ่งปีหลัง เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 26 โครงการ มูลค่า 33,440 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 22 โครงการ มูลค่า 20,440 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท และแผนการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดใหม่ ไลฟ์ ลาดพร้าว แวลลีย์ และไลฟ์ อโศก ไฮป์ มูลค่ารวม 12,300 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 30 มิ.ย. มียอดขายรอโอน (Backlog) เพื่อรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปี 40,552 ล้านบาท
ครึ่งปีหลังบริษัทพัฒนาโครงการในเซ็กเมนต์ใหม่แบรนด์ “บ้านกลางกรุง” ด้วยจุดเด่นคือทำเลที่ตั้งใจกลางกรุง โครงการแรกที่บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์-พระราม 3 บ้านเดี่ยวหรู 13 ยูนิต ระดับราคา 35-60 ล้านบาท เปิดตัวเดือนก.ย.นี้ ด้วยการขยับขึ้นตลาดบนในระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี ส่วนคอนโดปรับโฉมแบรนด์แอสปายใน 2 ทำเลได้แก่แอสปาย รัตนาธิเบศร์-เวสต์ตัน เดือนก.ย. ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท และแอสปาย ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์ ไตรมาส 4
สำหรับครึ่งปีแรกเอพีเติบโตสวนกระแสทั้งยอดขายและยอดโอน โดยมียอดขาย 17,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเติบโตแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ภาพรวมแนวราบครึ่งปีแรกเติบโต 28% โดยเฉพาะไตรมาส 2 มียอดขายสูงกว่า 9,100 ล้านบาท แม้ที่ผ่านมาจะเปิดตัวโครงการใหม่เพียง 5 โครงการ มูลค่ารวม 4,060 ล้านบาทด้านยอดโอนครึ่งปีแรกคาดว่าจะสูงกว่า 20,000 ล้านบาท ส่งผลให้เป้ารับรู้รายได้ 43,100 ล้านบาท และยอดขาย 35,500 ล้านบาทตามเป้าหมาย
“ความท้าทายของอสังหาฯ ไทยจากนี้ไปมี 3 ข้อที่ต้องจับตามอง เรื่องแรกการฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งวัคซีนถือเป็นตัวแปรสำคัญ 2. มาตรการภาครัฐที่จะกระตุ้นกำลังซื้อหลังจากความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา และสุดท้ายแผนการเปิดประเทศ โดยทั้ง 3 ข้อ คงต้องใช้เวลานานพอสมควร"
ทั้งนี้คาดว่า อสังหาฯ น่าฟื้นตัวช่วงกลางปี-ปลายปี 2565 หลังจากที่สามารถกระจายวัคซีนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ทำให้การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจฟื้นตัว