พักก่อน! เบรกเที่ยวข้ามเกาะสูตร 7+7 ชะลอกระจายทัวริสต์จาก ‘ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์’
“ท่องเที่ยวฯ” เบรกโครงการ “เที่ยวข้ามเกาะ 7+7” ชะลอกระจายนักท่องเที่ยวจาก “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ไป 3 พื้นที่นำร่อง “สุราษฎร์ฯ-กระบี่-พังงา” หลังผู้ว่าฯสุราษฏร์ฯถก “ททท.” ขอระงับเที่ยวข้ามเกาะจากภูเก็ตมาสมุย พร้อมยืนยันเดินหน้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ต่อ
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯได้ตัดสินใจชะลอโครงการเที่ยวข้ามเกาะ (Island Hopping) ภายใต้สูตร 7+7 ทั้งหมดออกไปก่อน ซึ่งเป็นโครงการที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสและมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ครั้งที่ 2 แล้ว สามารถท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่าง จ.ภูเก็ต กับพื้นที่นำร่องอื่น 3 พื้นที่ ได้แก่ จ.สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า), จ.กระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง และไร่เล) และ จ.พังงา (เขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่) กำหนดให้นักท่องเที่ยวพำนักในภูเก็ตอย่างน้อย 7 คืน ก่อนเดินทางไปท่องเที่ยวและพำนักในพื้นที่นำร่องดังกล่าวอีกเป็นเวลาอย่างน้อย 7 คืน เดิมวางกำหนดเริ่มวันที่ 1 ส.ค.2564
“จำเป็นต้องชะลอโครงการเที่ยวข้ามเกาะแบบ 7+7 ออกไปก่อน เนื่องจากยังไม่ผ่านการพิจารณาจากศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และภายในสัปดาห์นี้ยังไม่มีการประชุมของ ศบค.”
สำหรับการประเมินโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถท่องเที่ยวภายในภูเก็ตได้แบบไม่ต้องกักตัว แต่ต้องพำนักอย่างน้อย 14 คืนก่อนเดินทางไปยังพื้นที่อื่นในประเทศไทย หลังเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ใน จ.ภูเก็ต ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ล่าสุดทางจังหวัดภูเก็ตได้ออกคำสั่งที่ 4202/2564 เรื่องยกระดับมาตรการตรวจคัดกรองการเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต ตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา มีผลตั้งแต่วันที่ 3-16 ส.ค.นี้ ขณะที่ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในสถานที่กักกันมากที่สุด เช่น วันที่ 28 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อใหม่ 27 ราย แยกเป็นอยู่ในสถานที่กักกันมากถึง 21 ราย ที่เหลือคือติดเชื้อจากต่างจังหวัด 1 ราย รอสอบสวนโรค 2 ราย และรับกลับบ้าน 3 ราย ขณะที่การคัดกรองพบผู้ติดเชื้อจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศพบ 1 ราย เป็นการยืนยันผลจากการตรวจหาเชื้อที่สนามบินภูเก็ต ซึ่งนักท่องเที่ยวได้รอผลตรวจภายในห้องพัก ไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ
“ตัวเลขเหล่านี้ต้องแยกออกมาให้ชัดๆ โดยทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้ดูเรื่องนี้ให้ดี และหาทางประชาสัมพันธ์รายละเอียดออกมาอย่างชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด” รมว.การท่องเที่ยวฯกล่าวและว่า ส่วนสถานการณ์พบผู้ติดเชื้อบนเกาะสมุย ต้องดูตัวเลขในวันต่อไปว่าจะเกิดการกระเพื่อมขึ้นอีกหรือไม่ หากพบก็ต้องออกมาตรการควบคุมเข้มข้นขึ้นหรือชะลอโครงการไปก่อน
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จากจำนวนยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 บนเกาะสมุยเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา จำนวน 22 ราย และวันที่ 29 ก.ค.อีก 39 ราย รวมเป็น 61 ราย พบว่าสูงกว่าเงื่อนไขของโครงการ “สมุย พลัส โมเดล” ในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ซึ่งจะพิจารณาชะลอโครงการเมื่อพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทุกสาเหตุ มากกว่า 40 รายต่อ 2 สัปดาห์ตามที่ระบุไว้ในแผนเผชิญเหตุ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงขอหารือกับ ททท.สำนักงานสมุยว่า หากภายใน 1-2 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อมากขึ้น เช่น เป็น 2 เท่าของจำนวนปัจจุบัน คงต้องชะลอโครงการสมุย พลัส โมเดล
“ขณะนี้โครงการสมุย พลัส โมเดล ถือว่ายังไปต่อได้ แต่ได้มีการขอให้พิจารณาชะลอเรื่องการอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเที่ยวข้ามเกาะแบบ 7+7 เดินทางจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มาอยู่ต่อที่เกาะสมุยใน 7 คืนหลังเอาไว้ก่อน จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะดีขึ้น”
ด้านโครงการเที่ยวข้ามเกาะไปยังเกาะพีพี เกาะไหง และไร่เล จ.กระบี่ และเขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่ จ.พังงา ต้องดูความพร้อมด้วย เช่น ที่ จ.พังงา พบว่ายังขาดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อีก 63,000 โดส
สำหรับการออกคำแนะนำการเดินทางของประเทศต่างๆ หลังสถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้น พบว่าประเทศอังกฤษจะพิจารณาใหม่ในวันที่ 4-5 ส.ค.นี้ ซึ่งมีโอกาสที่จะเปลี่ยนคำแนะนำในการเดินทางมาไทยเป็นสีแดง ส่วนกลุ่มประเทศในสแกนดิเนเวียได้เปลี่ยนให้ไทยเป็นสีแดงแล้ว แนะนำให้หลีกเลี่ยงการเดินทางหรือเมื่อกลับจากประเทศไทยต้องถูกกักตัว
“แม้ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในไทยตอนนี้จะสูงขึ้น แต่ก็เป็นโอกาสในการทดสอบระบบและสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยจากการติดเชื้อในกลุ่มคนไทยซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ โดยในช่วง 1-2 เดือนนับจากนี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าหากเราควบคุมทุกอย่างได้ โอกาสที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวในระดับปกติช่วงไฮซีซั่นปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงต้นปีหน้าจะมีความเป็นไปได้สูง” ผู้ว่าการ ททท.กล่าว